วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

เคล็ดลับการใช้เครื่องรางด้านเสน่ห์ และ ความรัก ให้ได้ผล




มีเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ หลายคน คงจะสงสัยว่า ของเหล่านี้ใช้อย่างไร ให้ขึ้น ให้ได้ผล หลายคนบอกทำไมเงียบ หรือ "ไม่เห็นเป็นอย่างที่ได้ยินมาเลย" ผมก็มีเกร็ดเล็กๆน้อยๆ เกี่ยวกับ การใช้เครื่องรางทางเสน่ห์เมตตามาบอกเล่าเก้าสิบกันนะครับ 

แม้ว่าของเหล่านี้จะออกไปในทางโลกีย์ แต่เราต้องไม่ลืมสัจธรรมที่ว่า "ของดี ย่อมอยู่กับคนดี" ครับ เวลาจะใช้ของพวกนี้ คุณต้อง ทำใจให้ดี มีเมตตา จริงใจ ต่อผู้อื่น ไม่ใช่ว่า "เอาละเว้ย คนนี้แหล่มโคด ขอให้กุได้คนนี้เถอะ" (ขอโทดนะครับถ้าใช้ภาษาไม่สุภาพ) แบบนี้ผมว่า เราคิดอกุศลกับผู้อื่น ครูบาอาจารย์ท่านไม่ช่วยหรอกครับ อย่างน้อยเราก็ควรจะคิดว่า "เออ คนนี้แจ่มว่ะ น่ารู้จักจังเลย อยากคุยด้วย" อะไรประมาณนี้ ยังจะดีกว่าครับ สังเกตนะครับว่า คนที่ใจง่าย (คือ เห็นใครก็ชอบแบบจริงจังตลอด) จะใช้ของพวกนี้ขึ้น แต่พวกที่หวัง "รักนิรันดร์..."ตลอดนั้น มักเงียบครับ

ตัวคุณเอง คือ ปัจจัยที่สำคัญที่สุดครับ ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องหน้าตาดี ขาวตี๋ รวย แต่อย่างใด หากแต่ของพวกนี้เป็นเพียง "พลังเสริม" ที่คอยช่วยสิ่งที่ตัวคุณลงมือทำ เปรียบเหมือนรถยนต์นั่นแหละครับ ถ้าเราไม่สตาร์ท ไม่ขับ รถมันจะวิ่งเองได้ไง เช่นกัน ถ้าคุณพกขุนแผนมะรุมมะตุ้ม ที่เป็นสุดยอดแห่งเมตตามหานิยม หรือขุนแผนพราย 59 ตน ที่ว่ากันว่าสุดยอดเรื่องสตรี แต่คุณกลับเป็นคนเหนียมอาย ไม่มีมนุษยสัมพันธ์ ไม่กล้าคุย ไม่กล้าโทรหา แบบนี้ผมว่าเงียบแน่นอนครับ เพราะขนาดเรายังต้องห้อยขุนแผนไปผับ ขุนแผนไม่สามารถไปผับเองได้นะครับ แล้วอย่างนี้ จะให้ไปหาสาวมาให้เราได้ไงครับ ขุนแผนพูดไม่ได้ มีแต่เราต้องคุยเองนะครับ เพราะถ้าขุนแผนคุยสาวให้เราเองได้ ป่านนี้ขุนแผนไม่เอาสาวไปเองแล้วหรอครับ จริงมั๊ย

- เวลาจะหาของเหล่านี้มาใช้ ควรศึกษาข้อมูลมาบ้าง เพราะของบางอย่างมีวิธีใช้กำกับ สำหรับคาถานั้น ผมบอกได้เลยครับว่า สายพรายนั้น คาถาไม่สำคัญเท่าใจเราครับ ถ้าเราหมั่นคิดถึง พูดคุย กับพรายบ่อยๆ เราจะเหมือนสื่อจิตถึงพวกเค้าได้ ทีนี้ต้องการให้เค้าช่วยอะไรก็ให้บอกกล่าวเอาเลยครับ ไม่ต้องมีคาถา เพราะคาถานั้น มีไว้ท่องเพื่อกำหนดจิตให้เป็นสมาธิ เพื่อจะได้สื่อถึงพรายง่ายขึ้นเท่านั้นเอง

- คุณต้องหมั่นทำบุญบ่อยๆ หนึ่ง เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้พราย สอง เพื่อโน้มน้าวใจคุณให้ตั้งอยู่ในความดี เพราะการที่คุณใช้ของพวกนี้นั้น ทำให้คุณล่อแหลม และง่ายที่จะตกเข้าสู่วังวนของโลกียะ คุณจึงต้องรู้จักยับยั้งชั่งใจ มีสติ รอบคอบ "คิดก่อนทำ" เสมอนะครับ

- คุณต้องเชื่อมั่น และอย่าคิดมาก นี่เป็นเคล็ดลับสำคัญ...หมายความว่า หนึ่ง คุณต้องได้ของแท้ก่อน สอง ต้องมั่นใจในของชิ้นนั้น (มีของดีอยู่กับตัว กลัวอะไร...ต้องลุยแล้ววว 555) สาม อยากรู้ต้องลองห้อยเดี่ยว สี่ พอมั่นใจแล้วก็ไม่ต้องคิดเรื่องผลที่จะได้รับ ใช้ชีวิตคุณให้สนุก ทำตัวให้ร่าเริง (ให้คิดว่าของพวกนี้เป็นของติดตัว แบบ นาฬิกา สร้อย ที่สร้างความมั่นใจให้เรา ไรงี้)...เมื่อคุณลืมเรื่องผลที่จะได้รับเมื่อไหร่ เมื่อนั้นแหละครับ คุณจะเห็นผล

- หลายคนสงสัย เอ๊ะ อันไหนดีกว่ากัน อันไหนแรงกว่ากัน...ผมตอบให้เลยก็ได้ครับว่า "ของดี เป็นของดีเสมอ ต่างกันเพียง เด่นไปในด้านใด" เราต้องการแบบใด ก็ต้องศึกษาก่อนจะหามา ดูที่ผู้สร้างก็ได้ครับ ว่าเด่นไปทางด้านใด ส่วนที่ว่าอันไหนแรงกว่ากัน อยู่ที่ตัวผู้ใช้ด้วย...ถ้าคุณแรง ของก็แรงด้วย เหมือนคนขับรถช้าๆ ไปขับรถเฟอร์รารี่ ก็ไม่ได้หมายความว่าเฟอร์รารี่คันนั้นจะเเรงเร็วนะครับ
  เครื่องราง มีไว้เพื่อเสริมสร้างเสน่ห์ หรือโน้มน้าวใจผู้อื่นให้มาเมตตา รักใคร่ เอ็นดูเรานะครับ เมื่อเรามีของพวกนี้ก็เหมือนเราได้เปรียบคนอื่นอยู่แล้ว ดังนั้นเราจึงไม่ควรนำไปใช้เพื่อเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นอีก ยกตัวอย่างเช่น ไปเจอสาวที่ถูกใจ...อย่างน้อยเราควรจริงใจกับเค้าบ้างนะครับ ไม่ใช่กะจะสอยอย่างเดียว เพราะสำหรับผม ผมก็ไม่ได้รู้สึกแบบว่า แหม! จะต้องได้อย่างเดียวเสมอไป เห็นก็เออ อยากรู้จัก อยากคุยด้วย อยากเป็นเพื่อน อยากจีบ ประมาณนั้น ไม่ใช่อยาก...ตลอดนะครับ

...เพราะผมเชื่อ และทำแบบนี้ครับ ถึงได้รู้ว่าแต่ละชิ้น "ดีอย่างไร!!!"

(โปรดใช้วิจารณญาณก่อนจะเชื่อนะครับ ถือว่าเล่าสู่กันฟังละกัน)


เครดิตคุณ
 typhoon

วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

รวมเรื่อง และประสบการณ์ ของ อาจารย์เปล่ง บุญยืน






อ.เปล่ง บุญยืน ปัจจุบัน อายุ 90 ปี อดีตคือผู้บริหารโรงเรียน ใน อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดคือเรื่องที่ผมได้รับรู้ด้วยตนเองทั้งหมด จะเล่าโดยละเอียดดังนี้ เมื่อคราว อ.เปล่ง ตอนสมัยเป็นหนุ่มๆ ท่านเคยเล่าว่า ตอนนั้นเป็นนักศึกษา ได้หลบหนีเข้าป่าเนื่องจากตอนนั้นรัฐบาลได้กวาดล้างซึ่งได้ถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกคอมมิวนิสต์
ท่านได้หลบหนีเข้าป่า ไปเจอ อ.ภา ซึ่งอยู่ในป่า อ.ภา มีเชื้อสายเขมรและเป็นพระที่มีวิชาอาคมขลังมาก ได้ชักชวน อ.เปล่ง ให้บวชด้วยกัน เนื่องจาก อ.เปล่งท่านกลัวว่าจะถูกทางการจับ จึงบวชและเรียนวิชาอยู่กับ อ.ภา เป็นเวลากว่า 10 ปี ท่านต้องกินใบไม้แทนข้าว นอนในถ้ำที่มีงูเห่าชุกชุม และนั่งสมาธิเป็นประจำ ท่านเล่าว่างูเยอะมากแต่ไม่สามารถทำอะไรท่านได้ เพราะท่านค่อนข้างมีวิชาเหมือนกัน

และอีกอย่างยุงที่อยู่ในป่า เวลาตกตอนค่ำมา ท่านเล่าว่ามาเหมือนฝน หลังจากสำเร็จวิชาทางผงพราย จาก อ.ภา ท่านก็ธุดงค์ในป่า และชอบเก็บสะสมพวกว่านชนิดต่างๆ ผมเคยถามท่านว่าพวกผงพรายนี้ไปเอามาจากไหน ท่านบอกว่าก็เอามาจากศพนักศึกษาที่ถูกยิงตายนั่นแหละ ท่านเก็บสะสมและเสกมาเรื่อยๆ จนวันที่ท่านออกจากป่า อ.ภา ก็ขอร้องท่านให้บวชจนตายด้วยกัน แต่ท่านไม่สามารถทำได้เพราะท่านมีเมียแล้ว จึงกลับมาสมัครสอบเป็นอาจารย์อยู่ที่ อ.ท่าตูม

ด้วยความสามารถทางจิตของท่าน บางทีท่านออกจะร้อนวิชา บางวันนอนในบ้านไม่ได้ต้องออกมานั่งสมาธิหน้าบ้านใต้ต้นไม้ เมื่อท่าน อายุ ได้ประมาณ 50 กว่า ปี คนแถวนั้น เขตอีสานใต้ได้รู้ถึงกิตติศัพท์ของท่าน มีครั้งหนึ่งชาวบ้านได้เชิญท่านเป็นเจ้าพิธีในงานเปิดสะพานแม่น้ำมูล ท่านได้บริกรรมอยู่บนเรือ ขณะท่านบริกรรมอยู่นั้นได้มีปลาจำนวนมากกระโดดขึ้นเรือเป็นจำนวนมากชาวบ้านท ี่ไปร่วมพิธีเห็นหมด จึงเป็นที่เลืองลือ และท่านเคยเปิดเสื้อให้ผมดูรอยกระสุน ที่พวกคนใต้มาท้าลองยิงใส่ตัวท่าน ด้วยความเป็นนิสัยนักเลงท่านก็ถอดเสื้อให้ยิงปรากฏว่าไม่เข้า เมื่อครั้งที่ผมรู้จักท่านใหม่ๆ สมัยที่อยู่กรุงเทพ เคยได้พระปลอมที่คนบางพวกทำขึ้นมาขาย
เป็นเหตุให้ผมต้องนั่งรถไปหา อ.เปล่งที่ท่าตูม พอผมนั่งรถไปถึงที่ท่าตูม ท่านก็ออกมารับผมที่ท่ารถเพราะกลัวว่าพวกมอไซด์รับจ้างจะเอาเปรียบผม เมื่อเข้าไปในบ้านท่าน ผมจึงเอาพระให้ท่านดู พอท่านจับแป็บนึง จึงเดินเข้าไปในห้องนอนของท่าน และหยิบพระขุนแผนพร้อมทั้งขวดอิ้น มาให้ผม และบอกให้ผมลองนั่งพนมมือแล้วจับพระของท่านดู ด้วยความที่ผมไม่เคยเชื่ออะไรเลย ผมจึงทำตาม พอจับได้สักพัก ทั้งมือและแขนรู้สึกเย็นและชาสุดขั้วจึงต้องปล่อยมือออก และผมก็กลับกรุงเทพ เมื่อได้มาก็บูชา และเริ่มรู้สึกว่ามหาเสน่ห์นั้นยอดเยี่ยม จนคนในซอยที่ผมอยู่เขาเรียกผมว่าไอ้ขุนแผน หลังจากนั้นผมก็แวะเวียนไปหาท่านเรื่อย ๆ จนท่านรักเหมือนลูกหลาน เพราะผมชอบซื้อข้าวของไปฝากผู้ใหญ่ และท่านเคยบอกกับทุกคนว่า ถ้า อุกฤษ อยากเอาอะไร ผมก็ขัดไม่ได้ เพราะปกติท่านชอบเรียกผมอุกฤษ (ผมชื่อ กฤษณ์) ท่านจะแทนตัวเองว่าผมเสมอ

เมื่อกลับมาอยู่ที่ขอนแก่นผมจึงไปหาท่านอีกและไปเอากุมารทองมาบูชา ด้วยความปากเสียของผมเองจึงบอกกุมารไปว่า ให้มานั่งเฝ้าพ่อหน่อยลูก พอตกดึกมา ก็ปรากฏว่ามาจริงๆ ไม่ได้หลับ จนผมเกิดความกลัว มันมีอยู่จริงครับของแบบนี้ และที่รุ่นพี่ก็เคยโดนหลอกทั้ง 2 คนจนนอนไม่ได้ และผมก็มารู้ทีหลังว่า จากการที่ผมสอบถาม อ.เปล่ง ท่านเล่าว่า กุมารทองทำขึ้นจากผงพราย และท่านเสกแบบอัดยัดเข้าไป ถ้าจะเรียกกุมารพวกนี้ว่ากุมารจรจัดก็ว่าได้เพราะเฮี้ยนและแรงน่าดู ท่านบอกว่าเวลาเสกตัวไหนดิ้นได้ ท่านจะหยิบออกจากกลุ่ม (เสกครั้งละประมาณ 4-5 ตัว) และเสกไปทุกวัน ท่านจะเสกในเวลาหลังเที่ยงคืนจนถึงเช้า และตอนที่ท่านเสกท่านบอกว่าท่านเชิญทั้งเทพและครูบาอาจารย์ เวลาเสกจะมีเสียงเด็กวิ่งวนอยู่รอบห้องพิธีเป็นจำนวนมาก บางครั้งมันก็มาเล่นดินทราย เล่นรถอยู่หน้าบ้าน ของที่ท่านทำจะเสกอยู่ประมาณเป็นเดือน คืออัดเข้าไปจนเต็ม และท่านบอกว่าส่วนมากที่พวกเกจิทำพระขุนแผนไม่ขลังเพราะเสกกันไม่ค่อยเป็น พระขุนแผนเป็นพระที่ทำยาก เสกยาก บางครั้งผมก็เห็นพระเณรมาขอบูชาวัตถุมงคลของท่าน และบางครั้งก็หอบพระมาให้ท่านเสกซ้ำอีกทีหนึ่ง (ขนาดเป็นท่านเป็นฆราวาส) เพราะทุกคนยอมรับในวิชาไสยเวทย์ของท่าน หลวงพ่อและหลวงปู่ที่ท่านยอมรับและนับถือว่าเก่งๆนั้นก็มีหลวงปู่ทิม วัดระหารไร่ หลวงปู่พรหมมา จ.อุบล ฯ หลวงพ่อไสว วัดปรีดาราม (เรื่องลงนะหน้าทอง)

พระหรือวัตถุมงคลที่ท่านสร้างนั้น มวลสารหลักๆคือผงพราย และผมเคยถามท่านว่าดียังไง ท่านบอกว่า ถ้าใครโดนของมา พวกพรายมันจะดึงออกให้ และกันของได้ด้วย อีกทั้งเป็นมหาเสน่ห์อย่างแรง ท่านบอกว่าใช้พระท่านนั้นคุ้มตัวได้แน่นอน และให้ติดตัวตลอดเวลา เคยมีบางคนโดนอุบัติเหตุแต่กลับไม่เป็นอะไรเลยมีเยอะครับ ถ้าเป็นทหาร ตำรวจไปขอพระท่าน ท่านจะให้ฟรีๆ
ของบางอย่างที่ท่านให้มา ผมต้องเอาไปคืนเพราะเฮี้ยนจัด เช่นลูกกรอก หนังกระดูกหน้าผากมีถึง 5-6 ตัว อัดในกรอบอันเดียว ในบางครั้งพวกที่เป็นร่างทรง หรือพวกที่ฝึกสมาธิจิต จะชอบเห็นพรายที่อยู่ในวัตถุมงคลประจำ บางคนเคยเรียนทางไสยเวทย์พอลองจับดู ก็บอกว่า ของแรงมาก ถ้าท่านได้ไปรู้ไปเห็นเอง แล้วจะรู้ว่า พระท่านหรือวัตถุมงคลของท่านนั้นน่าใช้ขนาดไหน ปกติแล้วผมไม่ค่อยเชื่อถืออะไรง่ายๆ แบบนี้ แต่ต้องยอมรับนับถือในวิชาอาคมที่ อ.เปล่ง เสก สำหรับประสบการณ์นั้นเรื่องผู้หญิงเยอะจริงเล่าไม่หมดครับ ลองคิดดูว่าทำไมวัดต่างๆต้องนำมาให้ท่านเสกของให้ทั้งที่ท่านเป็นแค่ฆราวาสธ รรมดา ท่านบอกผมว่า พระที่ท่านทำนั้นมวลสารทุกอย่างต้องดี ไม่ใช่เอาแต่ปูนไปผสม บางครั้งท่านเคยพูดว่าเดี๋ยวนี้เกจิอาจารย์ เสกแค่แป็บเดียว (2 ชม.) แล้วเอาไปใช้ไม่ได้ผล นั้นมีมากมาย เพราะลูกศิษย์บ้าง อาจารย์ไม่เก่งจริง แต่เชียร์เยอะ ท่านบอกว่าถ้าไม่แน่จริงพระท่านคงไม่แพงขนาดนี้หรอก แต่ความเป็นอยู่ของท่านนั้น ท่านจะกินง่ายๆ กินได้ทุกอย่าง ถ้าท่านไม่ได้ไปไหนท่านก็จะอยู่บ้าน คนจากทางไกลจะมาบูชาพระท่านก็เยอะ ผมเคยถามว่าถ้าใช้ขุนแผนของท่านจะเป็นยังไง ท่านตอบผมว่า เมียเยอะ ขุนแผนท่านบอกว่า เสกต้องเอาให้ครบ คือ เป็นมหาเสน่ห์ คงกระพัน และเป็นนักปรัชญา และท่านบอกว่าให้ใช้พรายมันเอา เพราะมันมีตัวมีตนจริงๆ (ของหลวงปู่ทิมก็เช่นกัน) มีครั้งหนึ่งซึ่งผมก็ไม่รู้จักได้โทรมาเล่าให้ผมฟังว่า เค้าเขาไปถามร้านที่ขายของจำพวกมหาเสน่ห์ คนขายเจ้าของร้านบอกว่า ถ้าน้องหาของ อ.เปล่งมาใช้ ของในร้านพี่ทั้งหมด ไม่ต้องใช้เลย ซึ่งผมก็รับฟังมาอย่างนั้น และบางคนด้วยความไม่เชื่อ ผมก็แนะนำ ให้เอาไปเช็คกะคนที่นั่งทางในเก่งๆแต่ลองเอาอะไรปิดให้มิดชิดจับดู ส่วนมากก็จะบอกว่าเห็นเด็กอยู่ข้างในบ้าง ซึ่งผ
มเคยทดสอบมาแล้ว บางคนบอกว่าแรงกว่าพระกรุด้วยซ้ำ ซึ่งเรื่องทั้งหมดท่านครับ



วิธีบูชาขุนแผน อ.เปล่ง

1. วันแรกที่รับเข้ามาควรจัดขันธ์ 5 (ธูป5คู่ เทียนเล็ก 5 คู่ ดอกไม้ขาว 5คู่)
2. อาหารคาว เช่นแหนม เนื้อสัตว์ (ต้องมีเหล้าขาวด้วย 1 /4 แก้ว)

3. อาหารหวาน เช่น ของหวาน ผลไม้ แล้วแต่หาได้

4. บุหรี่ 1 ตัว ต้องจุดไฟให้ด้วย

คาถาเชิญมารับเครื่องเซ่น พราย 59 ตน

โอม ฮะ ฮะเซ๊ะ มหาล่ำสาย ขออัญเชิญ มหาภูติ มหาพราย ทั้ง 59 ตน มุทุตุอะ นะเมติ
จุดธูป 1 ดอกปักไว้ที่อาหารคาวหวาน แล้วเรียกพรายกุมารมากินแล้วขอตามเราปรารถนา ควรทำอย่างน้อยเดือนละครั้ง และทำบุญใส่บาตรอุทิศให้พลายกุมารด้วยจะได้มีอิทธิ์ฤทธิ์แรงขึ้น การใช้เนื้อสัตว์และเหล้าจะทำให้แรงมาก ไม่แนะนำให้ทำเพราะจะทำให้คุมให้ไม่อยู่ (ใช้ขนม ผลไม้ น้ำอัดลมแทน) .เปล่ง

ข้อห้าม
ของเซ่นห้ามกินอย่างเด็ดขาด น้ำแดงให้เทลงพื้นดินหรือกระถางต้นไม้ ห้ามเทลงส้วม ขนมให้ห่อให้มิดชิดแล้วทิ้งในถังขยะ

คาถาขุนแผน อ.เปล่งพราย 59ตน
นะโม3จบ
สุนะโมโล นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ มะอะอุ (เพื่อความชัวร์)
แล้วเลือกใช้ บทไหนก็ได้ อมสเนมน สเนเมีย สเนปูม สเนปะรา เป๊าะอันขะยอมคุณ เป๊าะอันเอฮง อม สะ หม ติ๊ด หรือ ( อมสะเนมน สะเนเมีย สะเนปูม สะเนปะรา เปร๊าะ อันขะยมกุน เปร๊า อันเฮอง อมสะหมติ๊ด )หรือ ( อมสะเนมน สะเนเมีย สะเนปูม สะเนปะรา เปรออันกระยอมคุณ เปออันเฮอง อมสะหมติด )อิติปิโสภะคะวาอะระหังสัมมาสัมพุทโธ นะโมพุทธายะ นะชะนะดะ(ทวนสัก 3รอบ) เตตีตุตะ เนียะ เมียะ เพียะ เทียะ
3.
นะเมตตา โมกรุณา พุทปราณี ธายินดี ยะเอ็นดู ขอให้.........(ชื่อเขา)........รักข้าพเจ้าด้วยนะโมพุทธายะ นะมะพะทะ จะภะกะสะ สุนะโมโล.........(ชื่อเขา)......สุนะโมโล นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ มะอะอุ. ตรงช่อง (ชื่อเขา) เนี่ย ไม่ต้องเจาะจงชื่อก็ได้ถ้าไม่ต้องการเลือกล๊อกเป้า ก็บอกไปว่า "ผู้ญทุกคนที่น่ารักและนิสัยดี" อะไรประมาณนั้น
4. สุนะโมโล 3 จบ
สั้นๆ เท่านั้น แล้วก่อนคล้องคอก็ตั้งจิตอธิษฐานรำลึกถึงครูบาอาจารย์ แล้วก็พูดเชิญพรายด้วยภาษาไทยธรรมดา ก็มีความรู้สึกว่าแค่นี้ก็แรงแล้วครับ เพราะส่วนสำคัญใน การใช้สายพรายผมว่าอยู่ที่การเซ่น แล้วก็หมั่นทำบุญ
วิธีใช้
ให้แขวนเดี่ยว ต้องมีจิตใจแน่วแน่ เชื่อมั่น หมั่นบอกกล่าว หมั่นพูดกับเขา และเซ่นให้ของกิน ผลไม้ น้ำ น้ำหวาน ขนม ตามโอกาส และอุทิศบุญให้เสมอ หมั่นทำบุญอนุโมทนา+แผ่เมตตาให้พรายด้วย แล้วจะเห็นผล)







คาถามนต์จินดามณีและกระดูกนางพันธุรัตน์(ยักษ์) อยู่ในพระผงสมเด็จปรกโพธิ์ ปี 45 หลวงพ่ออุ้น



ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ พระผงสมเด็จปรกโพธิ์ ปี 45 หลวงพ่ออุ้น


พระสมเด็จปรกโพธิปี45 หลวงพ่ออุ้น วัดตาลกง  


ท่านแจกจ่ายญาติโยมที่มาทำบุญงานกฐิน ปี 48 ลพ.อุ้น แจกพระสมเด็จปรกโพธิ์ ปี 45 ท่าน แจกไปพูดไป มีผงกระดูกนางพันธุรัตน์ยักษ์ ด้วย นั้นหมายถึงว่าสมเด็จรุ่นนี้นอกจากเด่นทางด้านเมตตามหานิยมแล้ว ยังได้เรื่องโชคลาภ เรียกเงินเรียกทองด้วยเพราะบรรจุวิชามนต์มหาจินดามณีเข้าไป ยุคนี้เศรษฐีกิจไม่ค่อยดีจึงอยากแนะนำให้ลองใช้ดูครับ

ตามตำนานเรื่องมนต์มหาจินดามณี พระสังข์มีมนต์วิเศษเรียกเนื้อเรียกปลาได้ รู้ว่าพระสังข์หนีแม่เลี้ยงที่เป็นนางยักษ์ (นางพันธุ์รัตน์) จนแม่เสียใจอกแตกตาย แต่ด้วยความรักของแม่ แม้ตัวจะตายก็ยังไม่วายห่วงลูก กลัวว่าลูกจะลำบาก อับจนหนทาง จึงประสิทธิคาถาวิเศษไว้บนแผ่นหิน ให้ลูกสังข์ท่องจำ เอาไว้ใช้ยามคับขัน ซึ่งคาถานี้มีจริง ดันนั้นสมเด็จรุ่นนี้จึงไม่ธรรมดาครับโดยนอกจากผสมผงสมเด็จรุ่นเก่าๆ แล้ว ยังมีทีเด็ดที่กล่าวมาข้างต้น รุ่นนี้อยากให้เก็บไว้บูชาครับ โชคลาภมีมาเรื่อยๆลุงเจือ อบอุ่นอายุ 70 ปี อยู่บ้านเลขที่ 118 ม.ต.ดอนห้วย  อ.ชะอำ  จ.เพชรบุรีศิษย์ฆราวาสที่  ลพ.อุ้น ใช้ให้ไปเอาผงกระดูกนางพันธุรัตน์ยักษ์  มาเป็นส่วนผสมในการทำพระ
พระผงสมเด็จปรกโพธิ์ ปี 45 ( แจกครั้งแรกงานปิดทอง ณ อุโบสถวัดตาลกง ( หลังใหม่ ) "
หลังจากที่พระในวัดท่านฉันอาหารเพล เสร็จเรียบร้อย ก็เป็นเวลาของพวกลูกศิษย์ทั้งหลาย ( ได้เวลากินข้าวก้นบาตรพระกันแล้ว ) กับข้าวมากมายถูกนำมาวาง ดูแล้วในใจหมู่เอกคิด ดีกว่าภัตตาคาร( มีอาหารให้เลือกกินหลายอย่าง )  ขณะนั่งล้อมวงกินข้าวกันอยู่นั้น ก็มีการพูดคุยถึง ลพ.อุ้น กันต่างๆนา

แล้วก็มีลุงแก่ๆ คนหนึ่งซึ่งหมู่เอก ไม่เคยพบปะพูดคุยกันเลย  มานั่งข้างๆ ก่อนพูดขึ้นลอยๆ ว่า
แหมๆ ตอนนั่นไปเอาผงกระดูกนางพันธุรัตน์ยักษ์ให้ คุณพ่อ.อุ้น มาทำพระแจกงานปิดทอง นึกถึงความศักดิ์สิทธิ์ ของ คุณพ่ออุ้นยังขนลุกไม่หาย "หมู่เอกตอนนั้นกำลังจะตักข้าวเข้าปากก็ต้องหยุดชะงักเล็กน้อย  พลัน !!! นึกถึงคำพูด
ของ ลพ.อุ้น  ที่เคยเปรยๆ ตอนแจกสมเด็จปรกโพธิ์ งานกฐินปี 48ให้ลูกศิษย์ว่า " เก็บไว้ให้ดีนะ มีผงกระดูกนางพันธุรัตน์ด้วยนะ "หมู่เอกได้ทีรีบสอบถาม " ลุงๆ เล่าให้ผมฟังหน่อยได้ไหมว่าความเป็นมาของผงนี้เป็นอย่างไร "   แกบอกว่ากินข้าวให้อิ่มก่อนนะ เดี่ยวไปคุยกันที่ตู้พระเพราะว่าจะมารับซองกฐินไปแจกให้พรรคพวกร่วมทำบุญสร้างวัดครึ่ง ชม.ผ่านไป..........หลังจากสอบถามประวัติชื่อเสียง เรียงนามในขั้นต้น
ต่อไปนี้เป็นบทสนทนาระหว่างหมู่เอก กับ คุณลุงเจือ  อบอุ่น    ที่จะมาถ่ายทอดเป็นเรื่องราวให้ทุกๆท่านได้ทราบ ถึงความเป็นมาในการนำผงวิเศษมากดเป็น  พระสมเด็จปรกโพธิ์ ปี 45  ครับ   เรื่องจริง เหตุการณ์จริง ครับ !!!

หมู่เอก : ลุงเจือเมตตาเล่าเรื่องที่ ไปนำผงที่เขานางพันธุรัสให้ทราบหน่อยครับ ผมก็เคยได้ทราบจาก ลพ.อุ้น บอกว่าแกให้ศิษย์ไปเอาผงมาทำองค์พระและก็พบกับเหตุอัศจรรย์มากมาย

ลุงเจือ : ยิ้มๆ  ตาเปล่งประกาย ระลึกถึงความหลังที่ไปนำผงสำคัญที่เขานางพันธุรัตน์ อ.ชะอำจ.เพชรบุรี ก่อนเล่าให้ฟังว่า

ตอน พ.ศ.2544 ก่อนงานปิดทอง 1 ปี  ลพ.อุ้น ได้ใช้ให้คนรู้จักมาตามถึงที่บ้าน บอกให้ไปพบที่วัดตาลกง  ได้รับข่าวดังนั้นก็รีบเดินทางมาวัดตาลกงทันที " เมื่อพบกับ ลพ.อุ้นเจอหน้าท่านยังแทบไม่ทันจะได้พูดอะไร ลพ.รีบพูดก่อนเลย

ลพ.อุ้น : ไอ้เจือ มึงไปเอากระดูกนางพันธุรัตน์ยักษ์ ให้กูหน่อย เขามาบอกให้กู

ลุงเจือ : เขาน่ะใครครับ ลพ.

ลพ.อุ้น :  มึงไม่ต้องเสือกรู้มึงไปเอามา

ลุงเจือ : ผมไม่รู้จักว่าเป็นอย่างไร และ มันอยู่ตรงไหนของภูเขา ถ้า ลพ.ไม่บอก ผมคงไปเอาให้ ลพ.อุ้น  ไม่ถูกหรอกครับ ภูเขาลูกออกจะใหญ่โต  ( ลุงเจือเล่าถึงตอนนี้แล้วก็ขำ )

ลพ.อุ้น : มึงเตรียมดอกไม้ธุปเทียน อาหารคาวหวานไปเซ่นที่ เจ้าพ่อเขาใหญ่  เดี่ยวจะมีคนนำทางไปเอาให้  พูดจบท่านก็รีบให้รีบกลับไปเตรียมตัว  พร้อมกับบอกให้ชวน ลุงทรึก สว่างโชติ หรือ ไอ้ทรึก ( ลูกศิษย์ของ ลพ.อุ้น อีกคนหนึ่งไปเป็นเพื่อน )
เมื่อลุงเจือกลับบ้านก็ได้นำเรื่องนี้ไปเล่าให้ลุงทรึกฟัง  ต่างคนต่างก็งง แต่ด้วยความที่เชื่อมั่นใน ลพ.อุ้นก็ได้ชวนกันไปที่เขานางพันธุรัตน์ในวันรุ่งขึ้นหลังจากที่เซ่นสังเวย สิ่งของต่างๆ กับ เจ้าพ่อเขาใหญ่เสร็จลุงเจือยังเมตตาเล่าให้ฟังว่า

ตอนนั้นยังไม่รู้เลยว่ามันอยู่ตรงไหน คิดขำๆ ถ้ามันอยู่บนยอดเขา ลุงคงไม่ปีนแน่ๆ "

นั่งพูดกับไอ้ทรึกไม่ทันไรเสียงไก่ขันหันไปมองตามเสียง เห็นไก่แจ้ ตัวเมียอยู่ตัวหนึ่งโก่งคอขันนึกแล้วยังบอกไอ้ทรึกมึงว่าใช่คนนำทางเราป่าววะ 555

เจ้าไก่ตัวเมียเวลาโก่งคอขันเสร็จก็ค่อยๆบินขึ้นเขา ตอนนั้นลุงก็รีบเดินตามขึ้นไปเดินไปอยู่พักใหญ่  สักครึ่งเขาน่าจะได้  ไอ้ไก่ตัวเมียนั้นก็หายไป  แต่บริเวณที่ ไก่หายไปนั้นเป็นแอ่งกว้างๆ เหมือนกระทะ  ก็หยุดแล้วคิดในใจ ว่าน่าจะอยู่แถวนี้

ลุงช่วยกันเดินหากับไอ้ทรึก แต่ก็ไม่รู้ว่ารูปร่างหน้าตาของกระดูกนางพันธุรัสมันเป็นอย่างไรเหนื่อย ก็ เหนื่อย เลยนั่งพักข้างๆ โขดหิน  ไปเจอก้อนหินอยู่หนึ่งก้อน ขนาดเท่าประมาณลูกนิมิตร งานปิดทองบ้านเรานี่แหละ  เห็นแล้วก็เอ๊ะ !!!  ไอ้ลูกนี้มันแปลกดี เลยเอามือลองไปจับปรากฏว่า  " ก้อนหินแตกออกมาเป็นสองเสี่ยง พร้อมกับมีผงละเอียดสีขาว เหมือนผงปูนอยู่ด้านใน "ตอนจับครั้งแรกความรู้สึกเย็นวาบๆ  เหมือนน้ำแข็ง   ความรุ้สึกตอนนั้นว่าใช่แน่ๆ ผงขาวเหมือนกระดูก ( หรือจะเป็นอุบายในการบอกของ ลพ.อุ้น )  ก็เลยช่วยกัน กอบใส่ถุงปุ๋ย ซึ่งขณะนั้นนำไปด้วย จำนวนครึ่งถุงปุ๋ย  แต่เหตุอัศจรรย์ก็เกิดขึ้นอีก  เมื่อขณะแบกเดินลงมาจากเขานั้น  ปรากฎว่าเดินได้ไม่เกิน 10 ก้าว สักทีก็ต้องวางถุงลงทั้งๆที่มีจำนวนไม่มากตอนนั้นลุงก็ยกมือท่วมหัวก่อนกล่าวดังๆว่า

 " 
เจ้าพ่อเขาใหญ่ ลูกได้รับมอบหมายจาก ลพ.อุ้น เจ้าอาวาสวัดตาลกงให้มานำกระดูกนางพันธุรัตน์ยักษ์ เพื่อที่จะนำไปสร้างเป็นพระสมเด็จแจกในงานปิดทองฝังลูกนิมิตร วัดตาลกง เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนาต่อไปอย่าให้ได้มีอุปสรรคใดๆ มาขวางกั้น ขอให้ลูกได้นำผงวิเศษนี้กลับไปให้ครูบาอาจารย์ ด้วยเถิด "

หลังจากบอกกล่าวเสร็จ ก็ลองยกถุงที่บรรจุผงกระดูกฯ อีกครั้ง ปรากฏว่า ลุงตัวคนเดียวสามารถแบกลงมาได้แต่เหตุอัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้นอีกในขณะที่จะลงมานั้น  มีลิงป่าจำนวนหลายร้อยตัวมากมายเต็มไปหมด  ติดตามมาส่งทั้งๆที่ตอนขึ้นไปไม่มีสักตัว พอลงมาถึงตีนเขาหันขึ้นไปมองพวกลิงพวกนั้นก็หายไปหมด ไม่เหลือสักตัว  ( ลุงเจือเล่าให้ฟังพร้อมกับชี้ให้ดูขนที่ลุกซู่ตามตัว ให้หมู่เอกดู )  แกบอกมาตั้งแต่เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็นหลังจากนั้นวันรุ่งขึ้นก็ได้เดินทางไปกราบ ลพ.อุ้น  พร้อมนำผงให้ท่านดู  ท่านเห็นผงแล้วยิ้มน้ำหมากกระจาย  หัวเราะชอบใจเป็นการใหญ่ บอก " นี่แหละๆ ของดี " พร้อมเล่าเหตุอัศจรรย์ที่เจอกับไก่ตัวเมียขันนำทาง และ ลิงป่ามาส่งหลายร้อยตัว ลพ.อุ้น ได้แต่หัวเราะ  ก่อนบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจังว่าลิงและไก่พวกนั้น เป็นทหารของเจ้าพ่อเขาใหญ่เขา มาต้อนรับและมาส่งพวกมึง "และนี่คือที่มา ของหนึ่งในส่วนผสมของผงสมเด็จปรกโพธิ์ปี 45 


ท่านสามารถสั่งบูชาได้ที่นี่
หมายเหตุ เขานางพันธุรัตน์ยักษ์เป็นภูเขาลูกหนึ่งซึ่งมีลักษณะเหมือนคนนอน อยู่ในพื้นที่ อ.ชะอำ  จ.เพชรบุรี  ซึ่งชาวบ้านมีความเชื่อว่านางพันธุรัตน์ยักษ์ ( นิยายเรื่องสังข์ทอง ) มาขาดใจตายบริเวณนี้ หลังจากที่อ้อนวอนให้พระสังข์ลงมาหา แต่พระสังข์ไม่ยอมลงจากเขา เนื่องจากอธิษฐานไม่ให้นางยักษ์ปีนขึ้นมาบนภูเขาลูกนี้ได้ ด้วยความที่เศร้าเสียใจนางจึงได้ขาดใจตายบริเวณนี้ ( ภูเขาเป็นรูปเหมือนผู้หญิงนอน )

ประสบการณ์ขุนแผนหลวงพ่อมี วัดมารวิชัยรุ่นแรก


เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณปี 2547 ซึ่งรับรองว่าเป็นเรื่องจริงและไม่ใช่ตัวอย่างที่ดีนักที่นำมาใช้ในด้านนี้ 



วันหนึงที่รุ่นพี่ของผม กทม. เค้าไปพบกับขุนแผนหลวงพ่อมีวัดมารวิชัย ที่ศูนย์พระเครื่องแห่งหนึ่งบนห้าง คุยกันนานพอสมควรครับ ทำให้รุ่นพี่ผมตกลงเช่าบูชามาทดลองพุทธคุณตามที่เจ้าของศูนย์บอกในราคาxxxx บาท (ลืมบอกไปที่ศูนย์มี 2 องค์ครับ เจ้าของใช้องค์นึง แล้วก็แบ่งไว้ให้เช่าอีกองค์) ขุนแผนรุ่นนี้หลวงพ่อมี วัดมารวิชัย และ ครูบาดวงดี จ.เชียงใหม่ เสก โดยอาจารย์เม้ง ขุนแผน  ท่านทำถวาย หลังจากได้มาก็ยังไม่ค่อยมีประสบการณ์มากนัก เพราะพี่เค้าก็วุ่นกับงานไม่ค่อยมีเวลาเที่ยว แต่พออาทิตย์ต่อมาเมื่อพี่เค้ามาทำงานที่ต่างจังหวัดทางภาคอีสานกับผม วันแรกที่เดินทางมาถึง ไปพบกับเจ้านายที่โรงแรมเพื่อกินข้าวและเชียร์บอลกันตามปกติ พอดูบอลเสร็จ กำลังจะเดินออกจากโรงแรมก็มีสาวใหญ่น่ารัก แต่งตัวภูมิฐานเดินมาคุยด้วย ถามไปถามมาได้ความว่ามาจากนครสวรรค์มาประชุมที่โรงแรม ไม่รู้ว่าจะไปเที่ยวที่ไหน จากนั้นก็ชวนรุ่นพี่ผมไปเที่ยวซะดื้อๆ เล่นเอาเจ้านายผมกับผมได้แต่ทำตาปริบๆ สรุปเป็นว่าไปเที่ยวเสร็จแทนที่พี่เค้าจะกลับมานอนที่พักที่เตรียมไว้ให้ แกดันต้องไปเปิดโรงแรมที่เราไปกินข้าวกับเจ้านายซะงั้น เพราะสาวคนนั้นเค้ามากะรุ่นน้อง (อ่า...รุ่นน้อง เธอเป็นกระเทยอ่ะครับ เลยต้องหาห้องใหม่นอนคุกัน) พอวันรุ่งขึ้นผมไปรับแกมาทำงานตามปกติครับ พอตกเย็นแกก็ชวนผมไปเที่ยวที่แกไปมาเมื่อคืน อีกแระวันนี้ ปรากฏว่าน้องนักศึกษามหาลัยโต๊ะข้างๆ ที่มากันสองคนเหล่มาทางแกอีกแระ เด็กในบริษัทที่มาด้วยก็เลยไปทาบทามให้แก ซักพักผมเดินออกไปห้องน้ำกลับมาถึงโต๊ะ ปรากฏว่าแกแวลไปกะเด็กโต๊ะข้างซะแล้ว โอ...ผมเลยต้องกลับที่พักคนเดียวอีกแล้ว พอเจอกันตอนเช้าพี่แกก้อยิ้มกลุ้มกลิ่มออกมาหาที่หน้างานแต่เช้า ผมก็เลยพูดประชดไปว่ามีของดีอะไรก็เช่ามาฝากน้องฝากนุ่งบางสิ ใช้คนเดียวไม่แบ่งนี่ประเดี๋ยวแช่งให้แฟนจับได้ซะเลย แกก็เลยปล่อยก๊าก...ก่อนที่จะรับปากว่า เออ...กลับ กทม. จะเช่ามาให้    หลังจากนั้นไปเกือบอาทิตย์ แกโทรมาบอกว่า ตอนนี้อยู่ที่ร้าน มีเหลือองค์เดียวเอาไหม เป็นของเจ้าของร้านนะ เค้าตัดใจให้เช่า เลี่ยมเข้ากรอบแล้ว ให้บูชาต่อตอนนั้นผมก็ไม่รู้อ่ะครับ ถ้าได้ผลแบบรุ่นพี่แค่พันจะเสียดายทำไม ผมเลยตอบตกลงไป เดี๋ยวอีกสองสามวันผมจะเข้า กทม. อยู่แล้ว เดี๋ยวผมแวะไปเอาเองไม่ต้องส่งมาให้

 

พอถึงวันที่ต้องลงมาเคลียงานที่ กทม. ช่วงเช้าผมต้องแก้ไขปัญหาที่หน้างานกับน้องๆในบริษัท พอตกเย็นน้องในบริษัทคนนึง เค้าโทรชวนรุ่นพี่เค้าที่เคยทำงานกับผมมากินข้าวเย็นด้วย เด็กคนนี้ไม่สวยมากครับ แต่ดูน่ารักใช้ได้ ซึ่งผมเองก็แอบมองอยู่สมัยที่เค้าเคยร่วมงานกับผม แต่ทำไรมากไม่ได้ เพราะเธอไม่เล่นด้วย ก็เธอดันรู้ว่าผมมีแฟนอยู่แล้วครับ บังเอิญก่อนไปกินข้าวนั้นผมแอบดอดไปรับขุนแผนกับรุ่นพี่มาก่อน เผื่อว่าจะได้ลองใช้ซะหน่อย แถมระหว่างทางปลุกแล้วอธิฐานเสร็จสรรพ เรานัดกันที่ร้านอาหารใกล้ที่พักรุ่นพี่ของน้องที่อยู่ในออฟฟิศ เพื่อให้เค้าเดินทางง่ายๆ ตอนกินข้าวก็ไม่มีอะไรมากมายครับ แอลกอฮอลล์ก็ไม่ได้ดื่มกันมาก ดึกพอสมควรผมเลยขอตัวขับรถไปส่งน้องๆ ในออฟฟิศ พอถึงคิวที่จะส่งเด็กคนนั้น ผมก็แกล้วง่วงแกล้งเหนื่อย แล้วก็ขอด้วยค้างดื้อ เธอเงียบไปพักนึง ก่อนที่จะตอบว่าได้ค่ะ แต่ต้องให้น้องที่ออฟฟิศผมอยู่ด้วย ผมตอบโอเคโดยไม่ต้องคิดครับ เราขับรถมาจะถึงที่พักของเด็กคนนั้นอยู่แล้ว อยู่ๆ น้องที่ออฟฟิศผมบ่นอยากก๊งเบียร์ขึ้นมา เอาก็เอาตามใจ เลยต้องจอดรถแวะซื้อ พอมาถึงอพาตเม้น เด็กคนนั้นก็ขอตัวไปอาบน้ำ ปล่อยให้ผมนั่งมองน้องที่ออฟฟิศ กระดกแก้วเบียร์อยู่หน้าโทรทัศน์ พอเธออาบเสร็จ ผมก็เลยไปอาบมั่ง ระหว่างที่อาบน้ำได้ยินเสียงคุยกันว่าให้ผมไปนอนข้างล่าง ส่วนน้องที่ออฟฟิศกับเค้าจะนอนบนเตียง กรรม...ท่าทางจะอดได้กอดซะแล้วหรือเรา ผมเลยล้วงกระเป๋าหยิบเอาขุนแผนพรายกุมารขึ้นมาปลุกอีกรอบพร้อมกับตั้งสมาธิ ขอให้ ได้นอนเด็กคนนั้นสักคืน (จะทำไรคงไม่สะดวก เพราะมีคนอื่นอยู่ด้วย) พอผมอาบเสร็จ น้องที่ออฟฟิศก็เลยเดินโซเซไปอาบ ผมเลยใช้จังหวะนี้คุยกับเด็กคนนั้นแบบใกล้ชิด ป้อนนั่นป้อนนี่เข้าปาก หยอกไปหยอกมา แบบถึงตัว ตอนแรกเธอก็ขัดขืนครับ แต่สักพักเธอก็อ่อนลงปล่อยให้มือผมซนได้ไปทั่วตัวเธอ แต่เราต้องแยกกันแบบวงแตกเมื่อเจ้าน้องที่ออฟฟิศเดินขยี้ตาออกมาจากห้องน้ำ ดูเหมือนจะเมาได้ที่แล้ว พอเดินมาถึงเตียงก็สิ้นสติ หลับไปซะงัน แต่ก็ยังอุตส่าห์นอนตรงกลางกั้นเราไว้อีก แต่เนื่องจากเตียงใหญ่มาก หัวเจ้านั่นเลยมาถึงแต่กลางเตียง ห้อยขาเอาไว้กับขอบเตียง ผมจึงเดินไปปิดไฟ แล้วเดินมานอนบนเตียงเอาดื้อๆ เธอก็ไม่ได้ว่าอะไร ที่สำคัญหมอนน่ะมีแค่ใบเดียวซึ่งใหญ่พอที่เราสองคนหนุนด้วยกันได้ ตอนแรกเธอก็คงอายๆครับ ผมเลยชวนคุยเรื่องนู่นเรื่องนี่ไปเรื่อยๆ มือก็ลูบที่หัวเธอเบาๆ ก่อนจะเลื่อนมาจับที่หน้าเธอ (อ่า...คือจะหาว่าริมฝีปากเธออยู่ไหนน่ะครับ) รอจังหวะที่เธอคุยกบผม ผมจึงรีบจูบเธอทันที่ เธอตกใจและเกร็งไปแปปนึง ก่อนที่เธอจะเผลอลืมตัวจูบตอบ พร้อมกับเอื้อมมือมาโน้มคอผมไว้ แต่ยังไม่ทันจะได้ทำไรต่อ เจ้าน้องที่ออฟฟิศที่สลบด้วยฤทธิ์เบียร์ก็ลุกขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แล้วก็โวยวายเหมือนคนบ้าว่าโดนผีเด็กวิ่งไล่ ลุกขึ้นมาหอบเหมือนคนวิ่งพึ่งหยุด แล้วก็บอกไม่เอาแล้ว ขอไปนอนชิดผนังด้านในดีกว่ากลัวผี ผมงี้เหงื่อแตกเลยไม่รู้ว่าเป็นเพราะพรายกุมารหรือเปล่า เลยตั้งสมาธินึกถึงคุณหลวงปู่ธีร์ที่ตัวเองนับถือ บริกรรมคาถามงกุฏพระเจ้า แล้วเป่าไปที่หัวให้น้องที่ออฟฟิศ เค้าเลยสงบแล้วกลับไปนอนต่ออย่างเดิมที่ริมห้องด้านใน คืนนั้นผมเลยได้กอดสาวสมใจ แม้จะไม่ได้มีอะไรกันแต่ผมก็ได้สำรวจร่างกายเธอจะทุกมุมจนพอใจ รุ่งเช้าเราจึงแยกย้ายกันไปทำงานตามหน้าที่ของตัวเอง ส่วนผมก็เดินทางกลับไปคุมงานที่ต่างจังหวัดต่อ หลังจากนั้นอีกไม่กี่ วันผมเดินทางมาตามงานที่ค้างอยู่ที่ กทม. อีกครั้ง คราวนี้ผมลองโทรนัดเธอไปเที่ยว และขอค้างที่ห้องเธออีกโดยมีแต่เราสองคน ปรากฏว่าเธอตกลง ซึ่งผมเองก็มารู้ทีหลังจากที่เรามีอะไรกันแล้ว ว่าเธอมีแฟนแล้ว คบกันมาสักพัก และวันที่ผมไปหา แฟนเค้าก็แวะมาหาที่ห้องแต่เค้าก็ออกมาข้างนอกกับผม ก็ไม่รู้ทำไม เธอก็ตัดสินใจมาเลือกผม ทั้งที่ไม่เคยคิดจะชอบ ทั้งที่รู้ว่าผมมีแฟนอยู่แล้ว เธอบอกว่าถ้าผมไม่โทรหา เธอจะห่วงและคิดถึงผมมาก แต่ก็ไม่ยอมโทรไปหาผม เพราะกลัวแฟนผมรู้ว่าเราคบกันครับ และเธอก็ไม่เคบเอ่ยปากขอให้ผมให้อะไรกับเธอ หรือเรียกร้องให้เลี้ยงดูเลย ขอเพียงให้ผมรักเธอเท่านั้นก็พอ เธอยินดีจะอยู่ในที่ของเธอ (ซึ่งตอนนี้เธอเลิกกับแฟนไปแล้ว) ครั้งหลังที่ผมไปพบเธอ ผมพกขุนแผนหลวงพ่อมี วัดมารวิชัยองค์เดียว

 ซึ่งก่อนหน้านี้นิดหน่อย ผมมีโอกาสได้ผมไปแวะนวดอโรมาคลายเหมือย ที่กรำงานหนักในต่างจังหวัดที่สปาแถวที่พักจนได้ไปดูหนังกับน้องคนที่นวดให้ ผม ขากลับผมก็ได้ไปค้างที่ห้องของเธอครับ เธอก็รู้ครับว่าผมมีแฟนแล้ว เพราะตอนนวดนั้นพอดีแฟนผมโทรหาอยู่นานเหมือนกัน จนเธอต้องหยุดนวดไปพักใหญ่ที่ มาแชร์ประสบการณ์นี่ไม่ได้เชียร์ให้ใครบูชาพระหรือของขลังที่ผมใช้อยู่นะ ครับ แต่อยากเล่าให้ฟังว่า พุทธคุณของเครื่องรางของขลังนั้นมีจริง แต่ก็ขึ้นอยู่ที่ตัวของผู้ใช้ด้วย ว่านับถือเพียงใด รักษาศีลและสัจจะเพียงใดในการถือครอง รวมทั้งของขลังประเภทพรายชิ้นนั้นมีบุญวาสนากับคุณไหม เพราะอย่าลืมว่าปลุกเสกด้วยผงพราย ผงอาถรรพ์แค่ไม่กี่ตน แต่ถูกสร้างเป็นหลายร้อยหลายพันชิ้น หากคนมีไม่เคยปลุกด้วยคาถา ไม่เคยคุยกับเค้า หรือไม่เคยแม้จะคิดทำบุญอุทิศให้ รอให้ช่วยตัวเองอย่างเดียว เค้าจะอยู่ช่วยไหมละครับ แล้วจะมาหาว่าไม่แรง ไม่เห็นดี แต่อีกคนนึงบูชามาแล้ว หมั่นทำบุญให้ อยู่ในศีลธรรม แม้นไม่ได้ตั้งใจใช้ ก็ย่อมเห็นผล เนื่องมาจากบารมีที่ทำไว้กับพราย เป็นท่านคงเข้าใจนะครับ อย่างตัวผมเองก็เป็นคนธรรมดา หน้าตาพอดูได้ ดำๆ ผอมๆ ไม่ได้หล่อ ไม่ได้รวยอะไร แต่ก็มีผู้หญิงให้ความสนใจ แล้วผู้หญิงของผมแต่ละคนก็ไม่ได้หาเอาตามผับตามเธค ล้วนมีหน้าที่การงานทั้งนั้น นั่นคือไม่ได้หมายความว่าเป็นผู้หญิงที่ง่ายๆเพียงเพื่อรักสนุก หรือต้องการอะไรเป็นข้อแลกเปลี่ยน แต่ทุกคนที่ผมคบล้วนรู้อยู่เต็มอกว่าผมมีพันธะแล้วทั้งนั้น ซึ่งเค้ายอมอยู่ในพื้นที่ของเค้า ขอเพียงให้ผมโทรหาบ้าง ไปหาบ้าง พาเที่ยวบ้าง ก็พอใจ แล้วทุกคนก็ไม่ได้เรียกร้องอะไร แต่ก่อนที่ผมจะมีอะไรกับทุกคน ผมจะต้องถามก่อนว่าเต็มใจไหม ทนได้ไหมที่ผมมีแฟนอยู่ แล้วจะต้องมาเป็นของผมอีก ซึ่งถ้าไม่ยินดีผมก็จะหยุดซะ เราเองต้องรับผิดชอบการกระทำของเราด้วย หากเค้าไม่เต็มใจก็อย่าสร้างกรรมเลย เพราะผมถือเป็นสัจจะที่ให้กลับพรายที่ช่วยเหลือผม ในทุกวันพระ ผมจะไปทำบุญที่วัดใกล้บ้าน ถวายทาน ถวายอาหารเพล แล้วกรวดน้ำอุทิศให้แก่พวกเค้าที่คอยช่วยเหลือผม พอช่วงเย็นหลังจากทำบุญก็จะจุดธูป เทียน แล้วตั้งเครื่องเซ่นให้เค้า (พราย/พยนต์/งั่ง) จำพวกผลไม้ ขนม น้ำเปล่า น้ำแดง และบุหรี่ (ส่วนเหล้าขาว จะเซ่นถ้าหากได้มีอะไรกับผู้หญิงที่ผมขอ แต่ก็ไม่ค่อยได้ขอพร่ำเพรื่อ หรอกครับ เพราะเราต้องดูแลครอบครัวของเราและผู้หญิงของเราให้ดี) แต่ที่แปลกคือผมไม่เคยเจอพรายหรืออะไรกับตัวเลย มีแต่คนรอบข้างเท่านั้นที่เจอ บางคนถามแปลกๆ ว่าปกติที่ห้องไม่เคยได้ยินเสียงอะไรแปลกๆแบบนี้ พี่เลี้ยงอะไร หรือพาใครมาห้องหนูด้วยหรือเปล่าทำนองนี้ครับ

 

ปล. พิธีที่เชียงใหม่ ตอนเสกมีเสียงคนวิ่งบนเพดานโบสถ์ทั้งพิธี พอจบพิธีถ่ายรูปก็ติดผู้หญิงมายิ้มด้วย และมีเพื่อน อ.เม้งมาหาร้องไห้ว่าแฟนหนีไป ท่านก็ให้ไปใช้ อาทิตย์ต่อมาก็มายื่นการด์แต่งงานให้อ.เม้ง ทำให้แปลกใจกันไปตามๆกัน คนที่เอาไปแล้วส่วนใหญ่จะมาเก็บเพิ่ม เพราะบอกว่ามีตัวตนมีคนนึงเอาไปเขาโทรมาบอกว่า มีคนมากอด หอมแก้มเขา เพราะคนที่รับไปเขาไปทำบุญให้ เลยมาขอบคุณ บางคนเจอมาเดินเลยครับ ส่วนน้องผมเจอกุมารที่ติดมา เขาบอกว่ามีเด็กมาเล่นมือเขาตอนนอน มาเคาะประตูเรียก บางคนเอาไปก็ไม่เจอ ไม่มีสื่อครับ แต่ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวว่าเสน่ห์ยอดเยี่ยม

หุ่นพยนต์อันดับ1 ของแผ่นดิน หลวงพ่อผาด วัดบ้านกรวด

หุ่นพยนต์อันดับ1 ของแผ่นดิน หลวงพ่อผาด วัดบ้านกรวด   สร้างเมื่อปี 2551 ทำมาจากเนื้อผงพรายกุมาร ปลุกเสกโดย หลวงปู่ผาด วัดบ้านกรวด เมื่อวันท...