วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2566

หุ่นพยนต์อันดับ1 ของแผ่นดิน หลวงพ่อผาด วัดบ้านกรวด




หุ่นพยนต์อันดับ1 ของแผ่นดิน หลวงพ่อผาด วัดบ้านกรวด  สร้างเมื่อปี 2551 ทำมาจากเนื้อผงพรายกุมาร ปลุกเสกโดย หลวงปู่ผาด วัดบ้านกรวด เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม และ 2 พฤศจิกายน 2551 สร้างอย่างเข้มขลังตามแบบรู้จริง และปลุกเสกเป็น จะเป็นของล้ำค่าในอนาคต เหมือนอย่างพระเครื่องชุดชินบัญชรของหลวงปู่ทิม อิสริโกเป็นจริงอย่างที่หลวงปู่ทิม ท่านเคยพูดไว้ว่า "บุญก็ได้ ... ไส้ก็เต็ม" ก่อนนั้นคิดว่า ถวายอาหารท่าน ท่านฉันอิ่มแล้ว เราก็ทานอาหารที่เหลือจากท่าน ก็จะอิ่มไปด้วย แต่เวลา 30 กว่าปีที่ผ่านมากพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เราได้ยิ่งกว่านั้น ผู้ได้รับพระเครื่องชินบัญชรชุดกรรมการจากการทำบุญ 500 บาท ได้มาหลายแสนบาท เหมือนหลวงปู่ทิมพูด "บุญก็ได้...ไส้ก็เต็ม"

วัตถุมงคลที่หลวงปู่ผาดปลุกเสกเพื่อแจกผู้ร่วมทำบุญทั้ง 2 รายการ (ร่วมสร้างพระบรมรูปสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ขนาดเท่าครึ่งในวันที่ 16 ตุลาคม 2551 , และ ทอดกฐินสามัคคี ณ วัดบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ ในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2551) ในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน หลวงปู่ผาดไม่เคยพูดว่าดีอย่างไร แต่พระสงฆ์ที่น่าเคารพ กราบไหว้ได้อย่างสนิทใจ ได้สัมผัสของๆท่านแล้วต่างพูดว่า “บูชาไว้เถิด อีกหน่อยจะมีค่าเหมือนเพชร เหมือนทอง!”



 

แชร์ประสบการณ์จากเว็บบอร์ดพลังจิต

ผมเป็นทหารทำงานอยู่ 3 จว.ใต้มา 4-5 ปีรอดอยู่ได้ทุกวันนี้ก็เพราะบารมีหลวงปู่ผาดคับทั้งโดนระเบิด 6 ครั้งซุ่มยิงอีก 9 ครั้งแคล้วคลาดปลอดภัยตลอดรวมไปถึงปืนยิงไม่ออกก็มีให้เห็นบ่อยๆ มีอยู่ครั้งหนึ่งประมาณ พ.ศ.2551 ชุดของผมซึ่งมีผมเองเป็น หน.ชุดกับลูกน้องอีก 7 คนได้รับภารกิจให้ไปซุ่มสังเกตการณ์บริเวณรอยต่อระหว่างปัตตานีและยะลา เวลาประมาณเที่ยงคืนลูกน้องในชุดของผมเกิดหลับละที้งเวรยาม ซึ่งเวลานั้นมีกลุ่มโจร 5-6 คนกำลังเตรียมจะเข้ามาถล่มชุดผมและวางระเบิดทันใดนั้นมีหุ่นดำ ตาแดง มาผลักหน้าผมให้ผมตื่นและเกิดการยิงปะทะกัน 10-15นาที ชุดของผมปลอดภัยทุกนายส่วนโจรล่าถอยเข้าป่าไป ผมเลยนึกสงสัยว่าตัวอะไรมาปลุกไม่เช่นนั้นคงโดนปาดคอทั้งชุดเป็นแน่ พอนึกได้ผมเลยมั่นใจว่าเป็นเพราะอิทธิฤทธิหุ่นพยนต์ของหลวงปู่ผาดที่ผมพกติดตัวตลอด ผมมั่นใจในความศักดิ์สิทธิในวัตถุมงคลของท่านมากครับ



"หุ่นพยนต์ และ พระขุนแผน หลังหุ่นพยนต์" คืออีกหนึ่งของมงคลล้ำค่า ที่ หลวงปู่ผาด วัดบ้านกรวด เมตตาเสกให้อย่างผู้รู้จริง ขลังไม่ขลัง พระขุนแผนพรายกุมารสากหัก ก็มีค่าดุจเพชร ดุจทองคำ และมีผู้กล่าวถึงจากประสบการณ์จริงที่เกิดขึ้น กันมากที่สุดไปแล้วครับ ครั้งนี้นอกจากมหามนต์ด้านการเสกพระขุนแผน ยังผนวกการสร้าง (ผูก) "หุ่นพยนต์" ตามศาสตร์วิชาโบราณด้วยอาคมและพลังจิตอันกล้าแกร่งของหลวงปู่ ซึ่งวิชาแขนงนี้ อ.ชินพร ประธานมูลนิธิหลวงปู่ทิมเล่าว่า "หุ่นพยนต์มีสร้างกันมานานมากแล้ว เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานไปแล้ว 250 ปี พระมหากัสสปะเถระผู้มีฤทธิ์ได้สร้างหุ่นพยนต์ใว้คอยเฝ้าพระสถูปเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุและเฝ้ากรุมหาสมบัติที่รอจะถวายพระเจ้าอโศกมหาราช กาลต่อมาเมื่อพระโมคคันรีบุตรมหาเถระ นำพระเจ้าอโศกมหาราชมาขุดหาพระบรมสารีริกธาตุ ที่จมอยู่ใต้ดินจนพบสถูปที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุและกรุมหาสมบัติ แต่พระเจ้าอโศกมหาราชก็เสด็จเข้าไปไม่ได้ เพราะมีหุ่นพยนต์เฝ้าอยู่ จนมีพราหมณ์หนุ่มเอาศรมายิงทำลายหุ่นพยนต์จึงเข้าไปนำเอาพระบรมสารีริกธาตุและมหาสมบัติออกมาได้ พระเถระผู้ทรงอภิญญาจึงสร้างพระยันต์หุ่นพยนต์ขึ้น เพื่อใช้ปกป้องพระศาสนาและมีการเล่าเรียนสืบต่อกันมา พงศาวดารและเรื่องเล่าขานก็มีการบันทึกบอกกล่าวไว้ แต่ในปัจจุบันจะหาผู้ทำได้จริงและศักดิ์สิทธนั้นมีน้อยมาก จากการศึกษาค้นหาก็พบแล้วว่า หลวงปู่ผาด วัดบ้านกรวด ท่านทำได้จริง ผมจึงขอบารมีท่านสร้างพระยันต์หุ่นพยนต์ขึ้น เพื่อเป็นกำลังใจให้ทหารหาญและตำรวจของชาติได้มีของดีไว้ติดตัว เตือนภัยและคุ้มครองป้องกัน ล่าสุด รอ.ยศพัทธ์ พูลเกษม รน.ผบ กองร้อยปืนเล็กที่ 3 ร.หน่วยเฉพาะกิจ 32 ได้เล่าถึงเรื่องที่เกิดขึ้นว่ามียักษ์ขึ้นมาเดินคุ้มครอง และให้มีลางสังหรณ์เตือนภัยก่อนจะมีเหตุ"

หุ่นพยนต์ และ พระขุนแผน หลังหุ่นพยนต์ คือหนึ่งในชุดของขวัญที่นอกเหนือจากหลวงปู่ผาด วัดบ้านกรวดจะปลุกเสกเดี่ยวแบบทิ้งทวนแล้ว ยังเข้าพิธีสำคัญอื่นๆ ทั้งภายนอกและในพิธีที่มูลนิธิหลวงปู่ทิม อิสริโก จัดขึ้น เนื้อหามวลสารประกอบด้วยผงพรายกุมารและผงมงคลต่างๆ ที่ทางมูลนิธิฯจัดสร้างวัตถุมงคลตลอดมา องค์นี้ร่วมทำบุญบูชามาโดยตรง ความสูงประมาณ 4 เซนกว่า




วันพุธที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2566

ลูกอมหลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ









 

“กะหรี่แก่ๆยังหาผัวได้หัวกระไดไม่แห้ง” วันนี้มาฟังเรื่องหลวงพ่อสงวนกันโดยเฉพาะลูกอม ของท่าน ถือว่า 1 บ่ มีสอง ในเรื่องเมตตา มหาเสน่ห์ และอันดับ 1 ในการปลอมเยอะที่สุด 555

ลูกอมหลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ วัยรุ่น30อัพ เรียกว่าลูกอมแกว่งน้ำ ไม่ใ่แกว่งเพื่อดื่มเอง. แต่แอบ ให้อีกฝ่ายดื่มเพราะอะไรลองอ่านดู

หลวงพ่อสงวนท่านเก่งทางเมตตามหานิยม ขนาดที่ว่า “กะหรี่แก่ๆยังหาผัวได้หัวกระไดไม่แห้ง” นี่ผมเอาคำพูดของลูกศิษย์หลวงพ่อมาทั้งดุ้นเลยนะครับถ้าไม่สุภาพก็ต้องขอ อภัยด้วยและก็เป็นเรื่องจริง ที่ลูกศิษย์ชอบเอาลูกอมของหลวงพ่อสงวนไปแกว่งในน้ำ และเอาไปให้ผู้หญิงกิน เห็นเขาว่าได้ผลมานักต่อนักแล้วเกจิอาจารย์ยุคหลังปี 2500 ท่านเป็นเกจิที่ดังเเบบ ปากต่อปาก มีชื่อเสียงด้านเมตตามหานิยม ท่านสร้างวัตถุมงคลไว้หลายประเภท เช่น พระเนื้อดิน พระเนื้อผง เหรียญรูปเหมือน ภาพถ่าย ปลัดเนื้อไม้้ ปลัดเนื้อผง โดนเฉพาะอย่างยิ่งลูกอม ของท่านสร้างตำนานมาเป็นอันมาก ไม่ใช่ด้านเมตตาอย่างเดียว เรื่องเหนียวก็ไม่เป็นรองใครเหมือนกัน วัตถุมงคลของท่านนั้นทำเพื่อแจกอย่างเดียว ไม่ได้ให้เช่า หรือบูชนามเดิม นายสงวน นามสกุล ร่มโพธิ์ชี ชาตะ เมื่อปี พ.ศ. 2460 พื้นเพเป็นชาวบ้าน อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรีมรณภาพ วันที่14 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2536 สิริอายุ 76 ปี 30 พรรษา

ประวัติโดยย่อ

- เดิมสมัยเป็นฆราวาส หลวงพ่อสงวนมีนิสัยนักเลง เด็ดเดี่ยวกล้าหาญ ไม่ยอมคน ไม่กลัวใครรู้จักสนิมสนมกับเสือในสมัยก่อน อาทิ เสือมเหศวร เป็นต้น แต่อายุน้อยกว่า (ภายหลังจากที่ท่านบวช เสือมเหศวรยังได้ไปมาหาสู่ ช่วยสร้างวัดไผ่พันมือ ตลอดจนแม้ตอนหลวงพ่อสงวนมรณภาพ ก็ยังมาเป็นประธานในงานฌาปนกิจ) ช่วงปี 2470 ปลายๆ ทางราชการขณะนั้น มีนโยบายในการเร่งปราบปราม บรรดาชุมโจรต่างๆ หลวงพ่อสงวนเกรงว่าจะถูกทางราชการเพ่งเล็งว่าเป็นพรรคพวกบรรดาเสือในจังหวัด สุพรรณบุรี จึงได้เข้ามาสู่ร่มเงาพระศาสนา

- บวชครั้งแรก เมื่อราวปี 2480-2483ที่วัดสังโฆษิตาราม โดยมีพระครูโฆสิตธรรมสาร หรือ หลวงพ่อครื้น อมโร เป็นพระอุปัชฌาย์ ศึกษาวิปัสสนากรรมฐาน อักขระเลขยันต์คาถาอาคม การลบผง จากพระอุปัชฌาย์จนเชี่ยวชาญ พร้อมๆกันนั้นได้ศึกษาพระปริยัติธรรมควบคู่ไปด้วยจนสอบได้นักธรรมเอก

- ภายหลังได้ย้ายไปจำพรรษาที่วัดองครักษ์ อ.บางปลาม้า สุพรรณบุรี ราว 4-5 พรรษา ชาวบ้านเลื่อมใสในปฎิปทาต้องการให้หลวงพ่อสงวนเป็นเจ้าอาวาส แต่หลวงพ่อสงวนไม่ต้องการรับตำแหน่ง จึงได้ย้ายไปอยู่ที่วัดบ้านกร่าง อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี เมื่อประมาณปี 2490 เป็นศิษย์พระเมธีธรรมสาร( ท่านเจ้าคุณไสว) จนในที่สุดได้ลาสิขาบทเมื่อราวปี 2498 ที่วัดบ้านกร่างนี่เอง

- ภายหลังลาสิกขา จึงได้แต่งงานมีครอบครัว โดยมีบุตรและธิดา รวม 2 คน ก่อนที่หลวงพ่อสงวนจะอุปสมบทอีกครั้ง ชีวิตฆราวาสของท่านก็คงถือศีล นุ่งขาวห่มขาวมาตลอด และในช่วงปี พ.ศ.2500-2504 ท่านก็อาศัยอยู่ที่วัดห้วยสุวรรณวนาราม อ.ศรีประจันต์บวช ครั้งที่สองในราวปี 2505 ( อายุ 45 ปี) ที่วัดองครักษ์ สันนิษฐานกันว่า พระครูอุดมโชติวัตร (หลวงพ่ออรรถ) วัดองครักษ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ การบวชครั้งนี้ หลวงพ่อสงวนจำพรรษาที่วัดทุ่งแฝก เมื่อจำพรรษาที่วัดทุ่งแฝก ได้ประมาณ 6 – 7 พรรษา หลวงพ่อสงวนได้เริ่มสร้างเครื่องราง เป็น ลูกอมเนื้อผง แจกแก่ชาวบ้าน แต่ส่วนใหญ่จะตกอยู่กับเด็กๆมากกว่า เพราะคราวแรกชาวบ้านไม่ค่อยชอบลูกอม ว่ากันว่า แรกๆชาวบ้านชอบพูดสนุกปากว่า “ลูกอมท่านยังกับลูกกระสุนยิงนก ไม่น่าแขวนน่าเอาไปยิงนกมากกว่า” ภายหลังมีเด็กที่แขวนลูกอมของท่าน ถูกหมากัดแต่ไม่เข้า จึงเริ่มมีชาวบ้านมาขอลูกอมท่าน

เมื่อปี พ.ศ.2512 หลวงพ่อสงวนได้ย้ายมาจำพรรษาที่วัด ไผ่พันมือ อ.ศรีประจันต์ ซึ่งขณะนั้นวัดไผ่พันมือเป็น ป่าไผ่ มีต้นไม้ใหญ่มากมาย ต้องอาศัยชาวบ้านและพระเณรจากวัดองครักษ์ มาช่วยกันถากถางไม้ให้โล่งเตียน งูเหลือมก็มีมากมายขนาดที่ว่า งูชอบไปนอนขดในโบสถ์ของวัดซึ่งเป็นโบสถ์มหาอุตม์(มีทางเข้า-ออกเพียงทาง เดียว) โบสถ์นี้เป็นโบสถ์ที่สร้างในสมัยอยุธยา และโบสถ์นี้ยังคงใช้ถึงปัจจุบัน (ขณะนี้กำลังมีการสร้างโบสถ์ใหม่) โดยเริ่มแรกที่หลวงพ่อสงวนมานั้น ได้สร้างกุฏิไม้หลังเล็กๆ ขึ้น และจำพรรษาอยู่เพียงรูปเดียว ออกบิณฑบาตแต่ละทีต้องเดินทางไม่ต่ำกว่า 5-6 ก.ม และต้องตื่นแต่เช้าตรู่จึงจะทันชาวบ้านที่จะใส่บาตร

- หลวงพ่อสงวน เป็นพระสมถะ แต่่พูดจาโผงผาง ชอบดุอยู่บ่อยๆ แต่ชาวบ้านกลับไม่ถือสา ว่ากันว่าถ้าโดนหลวงพ่อสงวนดุด่าว่าเมื่อไหร่เป็นได้โชคทุกครั้ง

- หลวงพ่อสงวนเป็นพระที่ไม่เคยเอ่ยปากขอ ไม่เคยเรี่ยไร แต่แปลกที่ท่านมีลาภสักการะไม่เคยขาด ศิษย์ทราบว่าสร้างอะไรก็จะบอกต่อๆกันไป ในช่วงที่หลวงพ่อสงวน เริ่มสร้างหอสวดมนต์ มีเงินเพียง 600 บาท( สร้างหอสวดมนต์ ช่วงปี 2522 – 2524) นายจวง คหบดี ในแถบทุ่งแฝก เคยปวารณาขอถวาย 50,000 บาท ช่วยสร้างหอสวดมนต์ แต่เริ่มสร้างก็ไม่นำเงินมาถวายสักทีจนสร้างเสร็จถึงได้นำเงินมาถวาย หลวงพ่อสงวนก็ไม่ยอมรับว่า สร้างเสร็จแล้วไม่เอาแล้ว ไม่ว่านายจวงจะพูดอย่างไร หลวงพ่อสงวนก็ไม่ยอมรับเพราะสร้างเสร็จแล้ว จนนายจวงไม่ทราบจะทำอย่างไรเพราะท่านไม่ยอมรับเงินจึงขอสร้างกุฏิถวายวัด หลวงพ่อสงวนก็บอกว่า “ตามใจจะสร้างก็ตามใจ” นายจวงจึงได้สร้างกุฏิวัดหลังเล็กๆถวายวัด

หลวงพ่อสงวน ท่านเป็นผู้ที่อุทิศตนบุกเบิกสร้างวัด ไผ่พันมือ โดยร่วมกับหลวงพ่อแกละ (สหธรรมิก) สร้างถาวรวัตถุภายในวัด หลวงพ่อแกละท่านชำนาญด้านดูดวง ส่วนหลวงพ่อสงวนชำนาญด้านรดน้ำมนต์ สะเดาะเคราะห์ ปัจจัยที่ได้ท่านทั้งสองจะนำมาเป็นค่าใช้จ่ายภายในวัดทั้งสิ้น เรียกได้ว่า พระเณรในยุคนั้นไม่มีอดอยาก แม้ในคราวที่ฝนตกฟ้าร้องไม่อาจออกไปบิณฑบาต ก็มีข้าวปลาอาหารฉันไม่อด

- เมื่อราวปี 2526 ได้มีการสร้างศาลาการเปรียญขึ้น ซึ่งในการสร้างศาลาครั้งนี้่ ได้มีการจัดสร้างเครื่องราง และพระเครื่องเนื้อ ผงเป็นจำนวนมาก เพื่อแจกญาติโยมเป็นที่ระลึกในการร่วมทำบุญสร้างศาลา อาจกล่าวได้ว่า เป็นช่วงเดียวที่หลวงพ่อสงวนออกวัตถุมงคลให้บูชา

- ในการสร้างพระเครื่องของหลวงพ่อสงวนนั้น จะใช้้มวลสารผงอิธิเจเป็น หลัก โดยผงนี้่หลวงพ่อสงวนจะปั้นและลบด้วยตัวเอง ผสมมวลสารพระกรุต่างๆ และท่านจะดูแลการสร้างด้วยตัวเองโดยให้พระเณรในวัดช่วยกันปั้น และกดพิมพ์พระ วัตถุมงคลของท่านมีประสบการณ์มากมาย ทำให้มีลูกศิษย์นับถือท่านมาก

- พระเครื่องท่านสร้างจากผงอิทธิเจ ซึ่งท่านเขียนและลบผงด้วยตัวท่านเองตลอดชีวิต ศิษย์และกรรมการในสมัยนั้นต่างทราบดี ว่างจากรับแขก หลวงพ่อสงวนจะเขียนและลบผงทั้งคืน โดยนำมวลสารมาปั้นเป็นแท่ง เขียนแล้วลบเป็นผง จากนั้นก็นำมาเขียนแล้วลบเป็นผง ทำแบบนี้ซ้ำๆ หลายต่อหลายครั้งจนสำเร็จ จึงนำผงที่ได้มาผสมกับมวลสารอื่นๆอาทิ ว่าน ดินกรุ เป็นต้น

- ผงอิทธิเจ ของหลวงพ่อสงวนขึ้นชื่อมาก หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง จ.สิงห์บุรี เคยกล่าวว่า“อาจารย์สงวน ทำผงเก่ง” ในสมัยนั้นวัดพิกุลทอง มีงานพุทธาภิเษกพระเครื่องเมื่อใด หลวงพ่อแพจะส่งรถมารับหลวงพ่อสงวนอยู่เสมอๆ หลวงพ่อสงวนเองก็ได้กล่าวยกย่องให้ลูกๆหลานๆฟังเสมอว่า “หลวงพ่อแพ เป็นผู้มีบุญบารมีมาก ผ่านไปสิงห์บุรีให้ไปกราบท่านให้ได้นะ”

วิธีพิจารณาลูกอมท่าน ต้องดูความเก่า เนื้อจะไม่ขาวออกขุ่นๆ คล้ายไข่ตุ๊กแก ถ้าขาวๆน่าจะเก๊

คาถาพระเครื่อง ลูกอม หลวงพ่อสงวน

“อิติปิโสภะคะวา สัมมาสัมพุทโธ นะโมพุทธายะ อิติปาระมิตาติงสา อิติสัพพัญญูมาคะตา อิติโพธิมนุปปัตโต อิติปิโสจะเตนะโม

คนทั้งหลายรัก สมาคะตา โสทายะ โอมศรีๆสวัสดีเจริญ

หน้ากูงามเหมือนพระจันทร์เมื่อวันเพ็ญ บุคคลเห็นคนรัก คนเห็นคนทักกูคุ้นเคย ด้วยเดชะพระพุทธเจ้าตรัสว่า

เอวัมเมสุตัง เอกังสะมะยังภะคะวา พิศวาสหลงใหล พิศมัยแนบเนื้อ ใจจิตรคิดถึงเคล้าคลึงวิญญา วิชาจะระสัมปันโน ยะทาโส สัพเพชะนา พะหูชะนาปิเมตตา ปิกรุณา นะเมตตา โมกรุณา พุทเป็นที่รัก ธาให้เห็นประจักษ์ ยะให้ยินดี

ยะหันตะวา ธาเมามัว พุทพาตัวเอามาหากู

โมสมสู่ นะอยู่ด้วยจนตัวตาย

อิตถีหิปูชิตัง สัพพะสุขขัง จะมาหาลาภัง สัพพะโกรธังวินาสสันติ

สารพัดศัตรูวินาสสันติ อมละลวยมหาละลวย ใครเห็นหน้ากูก็งงงวย จงใจรักทักปราศัย อ่อนละไมมาหากู

อะสังวิสุโลปุสะพุภะ นะมะพะทะ อิสวาสุ มะอะอุ จิตตังวา มานิมา

วันอังคารที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2566

จุดมุ่งหมาย ของนักไสยศาสตร์คืออะไร? (อาจารย์วรา ปราการ)

 




จุดมุ่งหมาย ของนักไสยศาสตร์คืออะไร? (อาจารย์วรา ปราการ)

"วิชาไสยศาสตร์"หลายคนจะมองว่าเป็นเรื่องงมงาย หรือมองว่า เป็นเรื่องไม่จริง ผู้ใช้ส่วนใหญ่อยาก ให้เครื่องรางมหาเสน่ห์ สัมฤทธิผลกับตัวเองบ้าง กลับไม่มีใครกล้า ที่จะพิสูจน์ วันนี้ อาจารย์วรา ปราการ เป็นคนหนึ่ง ที่กล้ายืนยันว่า"ไสยศาสตร์มีจริง เพราะ เป็นเหมือนแรง สนับสนุนตัวเรา แต่ไม่ใช่ตัวนำ พูดให้เข้าใจอย่างง่ายๆ ก็เป็นเหมือน กุศโลบาย ที่คอยโน้มน้าว จิตใจคน ให้ทำความชั่ว กันน้อยลง" อ.วรา เล่าว่า สมัยยังหนุ่มตอนอายุ ๑๔ ปี ได้เริ่มทำน้ำมันพราย และ ยาเสน่ห์ต่างๆ ทำให้เป็นคนเจ้าชู้ เนื่องจากไปเรียนวิชา เหล่านี้จากเพื่อน ของพ่อที่เป็นชาวเขมร โดยเขาสอน ให้ทำน้ำมันพรายและยาเสน่ห์ ครั้งแรก ที่ทำก็คือน้ำมันและสีผึ้ง โดยไปหามวลสารที่ จ.นครราชสีมา มาทำน้ำมันครั้งแรก และลองด้วยตัวเอง ก็ได้ผลเลย เมื่อทำแล้วก็อยากลองของ จึงได้ไปทดลองการใช้น้ำมันพราย มาอย่างต่อเนื่อง จนตัวเองมีภรรยาถึง ๓๒ คน ภาพรวมของตัวเองในหมู่เพื่อนฝูงเป็นคนหน้าตาไม่ดี ผอมแห้ง ไม่หล่อ เหมือนกับเพื่อนๆ จึงต้องอาศัยวิชาเหล่านี้เป็นผู้จุดประกาย ความรักมาตลอด ทำให้หันมาสนใจชอบในเรื่องของ เสน่ห์มากกว่า กระทั่งผู้เป็นพ่อ ได้ถ่ายทอดวิชามหาเสน่ห์ให้

 

ส่วนการสักยันต์นั้นไม่ได้เรียนเพราะเห็นว่าเจ็บ จากนั้นทุกๆ ปีจะมีการสร้าง วัตถุมงคล เหล่านี้ไปถวายวัดมาโดยตลอดช่วงวัยรุ่นเป็นคนที่คะนอง อยากรู้อยากลองว่าน้ำมันพราย ที่ทำขึ้น มาจากเชิงตะกอน เผาศพ ของคนต่างจังหวัดทางภาคอีสานนั้น ใช้ได้ผลจริงหรือไม่

 

แต่หลายครั้งที่ทำน้ำมันพรายออกมา จะนำไปลองป้าย ผู้หญิงที่ชอบ เพื่อให้หลง ให้ชอบมา เป็นภรรยา เวลาผ่านไปอยากมีใหม่ก็จะถอนน้ำมันพราย ที่ป้ายด้วยการ ทำน้ำมนต์ให้ฝ่ายหญิงดื่ม เมื่อฝ่ายหญิงดื่มเข้าไปแล้ว จะมีความรู้สึกทน ความเจ้าชู้ของตัวเองไม่ไหว ก็จะขอเลิกราไปเอง

 

"แม้ตอนนี้จะเลิกทำแล้วแต่ก็ยังมีหลายคนมาช่วยให้ทำน้ำมั นพราย เพื่อไปทดลองกับผู้หญิง ตรงนี้ก็จะไม่รับทำอย่างเด็ดขาด เนื่องจากไม่รู้ว่า เอาไปใช้ในทางที่ดีหรือหวังเพียงได้ตัวผู้หญิงอย่างเดียว สิ่งสำคัญได้คำนึงถึงบาปกรรมที่อาจจะตามมา ใครจะว่าผมเป็นคนเจ้าชู้ หรือไม่เจ้าชู้ ก็สุดแล้วแต่ แต่ตัวผมเองนั้นเป็นคนชอบลองของที่สร้าง เวลาผ่านมาได้สอนให้รู้ว่า ความคะนองที่เป็นอยู่นั้น คือ บาปกรรมที่ติดตัว มาจนถึงทุกวันนี้ ความขลังที่เคยมีมาก็เริ่มใช้ได้ไม่เต็มที่นัก ระยะหลังเชิงตะกอน ก็หายากขึ้น ส่งผลให้เลิก ทำน้ำมันพรายในที่สุด ส่วนน้ำมันพรายที่เหลือ ก็ปล่อยลอยน้ำไปแล้ว การทำแบบนี้ถือเป็นการทำที่ผิดวิธี เพราะตามโบราณแล้ว จะต้องนำน้ำมันพรายนี้ฝังลงดิน หากเราทิ้งไปแล้ว มีคนเก็บมาใช้โดยไม่มีคาถา กำกับในการใช้หากน้ำมันพรายนี้ไปถูกผู้หญิงคนไหน คนนั้นอาจบ้าหรือเพี้ยนได้

 

เมื่อสะสมประสบการณ์ต่างๆ มากมาย กับพระเกจิอาจารย์ในประเทศเขมร ตลอดระยะเวลา ๑๐ กว่าปีไม่ได้เขียนประวัติของหลวงพ่อต่างๆ เพียงอย่างเดียว แต่ยังเก็บมวลสารที่เป็นอาถรรพณ์ และว่านต่างๆ ที่หาได้ยากในปัจจุบันนี้ จากหลวงพ่อต่างๆ ทุกภาคของประเทศไทยที่ได้เขียนประวัติแล้ว ยังมีการเขียนเรื่องเวทมนตร์คาถา และพระเวทอาถรรพณ์

 

สำหรับวัตถุมงคล เหล่านี้จะมีความศักดิ์สิทธิ์ได้นั้น อ.วรา บอกว่า ต้องมี

 

๑.คนที่ทำพิธีนั้นเป็นคนอยู่ในศีล ในธรรมหรือไม่

       ๒.คนที่นำวัตถุมงคลเหล่านี้ไปใช้มีความเชื่อมั่นแค่ไหน

                                      ๓.ต้องรู้คุณบิดามารดา การสร้างวัตถุมงคลขึ้นมาก็เพื่อให้เป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ มีวัตถุมงคลแล้วก็ไม่ให้พูดจาหยาบคาย คนที่มีวัตถุมงคลแล้วไม่สามารถปฏิบัติตัวตามนี้ได้ ต่อให้มีพระสมเด็จวัดระฆังกี่องค์ ท่านก็คงไม่คุ้มครอง

 

ดังนั้นจุดมุ่งหมาย ของนักไสยศาสตร์คือ สอนให้รู้ด้วยปัญญา ไม่ได้ให้งมงาย

 

สมมติว่า อาจารย์ให้สีผึ้งไปติดต่องาน แล้วเมื่อไปถึงแล้วมีการพูดจาไม่เพราะ การใช้สีผึ้งเหล่านั้นก็ไม่มีประโยชน์ สีผึ้งนั้นก็กลายเป็นสีผึ้งธรรมดา เนื่องจากของเหล่านี้จะใช้ให้ได้ผลดีต้องเป็นคนอยู่ในศีลในธรรม ทั้งผู้รับและผู้ให้ ไสยศาสตร์ไม่ได้เป็นเรื่องงมงาย แต่วัตถุมงคลเหล่านี้มัน เป็นแรงหนุน ไม่ใช่ตัวนำ บางคนมีความกล้า มั่นใจว่าสักหนุมานมาแล้วต้องเหนียวนั้น เป็นความคิดที่ผิด

 

อ.วรา บอกด้วยว่า หลายคนบอกว่า การสร้างวัตถุมงคลแบบนี้ออกมาเพื่อให้คนเจ้าชู้นั้น แท้จริงแล้วไม่ใช่ เป็นความเชื่อของจิต เมื่อจิตมีความเชื่อ ก็จะเกิดความเชื่อมั่น ถ้าถามว่าไสยศาสตร์มีจริงไหม อาจารย์ขอยืนยันได้ทันทีว่า ไสยศาสตร์ที่อยู่ในโลกนี้มีจริง แต่เราจะเข้าถึงกันไหม ฉะนั้น ก่อนที่เราจะเล่นของเมตตานั้น เราต้องเป็นคนที่มีใจเมตตาด้วย ไม่ใช่เป็นคนบาป ไปทำเขาตาย แล้วมาโวยวายว่า เครื่องรางเหล่านี้ไม่ขลัง เราจะเห็นได้ว่านี่มันมีจิตที่ไม่อ่อนโยน

 

"เหมือนผัวไปมีเมียน้อย เป็นเพราะภรรยาหลวง ถือว่ามีลูกแล้วก็สามารถมัดใจผัวได้นั้น มันเป็นความเข้าใจผิดอย่างมาก หลงผิด แท้จริงแล้วความเป็นเมีย ก็ต้องมีท่าทีที่ดีกับผัว คือการปฏิบัติตัวที่ดี เช่น กามหรือกามะก็ต้องเก่งด้วย พอผัวไปติดผู้หญิงที่ทำงานกลางคืน เพราะว่าพวกนี้เขาจะเอาใจเก่ง เห็นผู้ชายเหนื่อยมาเขาก็จะไม่พูดถึง เขาก็จะเรียกป๋าอย่างนั้นป๋าอย่างนี้ กินน้ำเย็นก่อนให้สบายใจ ผิดกับเมียหลวง ที่ผัวกลับบ้านก็ใส่ฉอดๆ เงินเดือนไม่เหลือ กลับผิดเวลา" อ.วรา กล่าวทิ้งท้าย

 

"ภรรยาหลวง ถือว่ามีลูกแล้วก็สามารถมัดใจผัวได้นั้น มันเป็นความเข้าใจผิดอย่างมาก หลงผิด แท้จริงแล้วความเป็นเมียก็ต้องมีท่าทีที่ดีกับผัว คือการปฏิบัติตัวที่ดี เช่น กามหรือกามะก็ต้องเก่งด้วย"


วันอังคารที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2566

คาถานิพพานสูตรสำหรับคนเลี้ยงพราย ขอเผยแพร่เป็นวิทยาทาน

 


โดยทั่วไปพวกหมอผีหรือพวกที่เล่นไสยศาสตร์จะใช้คาถานิพพานสูตรเป็นการควบคุมผีโดยขั้นตอนเริ่มแรกของการเลี้ยงผีคือต้องหาเครื่องเซ่นอย่างที่เราทราบกันอยู่แล้วเป็นพวกกุ้งพล่าปลายำ น้ำ เหล้าขาว อาหารหวาน (อาหารดิบ ๆ สด ๆก็ได้ถ้าไม่กลัวว่าพรายจะดุเกินไปและคุมลำบาก)แล้วจึงท่องคาถาเรียกผีมากินเครื่องเซ่นใช้คาถานิพพานสูตรบังคับผีให้ทำตามที่ต้องการเราใช้เลี้ยงแบบพูดดี ๆเป็นพี่เป็นน้องกันดีกว่าครับเลี้ยงง่ายกว่าเยอะหลังจากนั้นใช้คาถาขับผีใช้ไปทำตามที่เราต้องการเมื่อสำเร็จแล้วก็ใช้คาถาเรียกผีให้กลับมาเอาเครื่องเซ่นให้กินอีกครั้งเป็นรางวัลแล้วใช้คาถาผูกผีให้อยู่กับที่ไม่ให้ออกไปไหน

คาถานิพพานสูตรสำหรับคนเลี้ยงพราย ขอเผยแพร่เป็นวิทยาทาน

1.คาถาปลุกพรายให้มีฤทธิ์เดชในการใช้ให้ไปตามความประสงค์

จิเจรุนิจิตตัง เจตะสิกัง รูปัง นิพพานัง ตังนิพพุตติง มะพะทะนะ

ปะถะวีธาตุทีฆังวาภะกะสะจะ วาโต เสนโต ปัสสาโส หัทธะยังสิวัง ชีวังอุตเตติฯ

2.คาถาเรียกพรายให้มาหาเพื่อใช้งานจิเจรุนิจิตตัง เจตะสิกัง รูปัง นิพพานัง ตังนิพพุตติง พะทะนะมะ

เตโชธาตุ ทีฆังวา อะสะจะภะวาโต เสนโต เอกะชานัง ปะรังยัตตะวา อาคัจฉาหิฯ

3.คาถาผูกพรายให้อยู่กับที่ไม่ออกไปเพ่นพ่านจิเจรุนิจิตตังเจตะสิกัง รูปัง นิพพานัง ตังนิพพุตติง ทะนะมะพะวาโยธาตุทีฆังวา สะจะภะกะวาโต เสนโต พุทธา พันธะนายะกัง พันธัตตะวาฯ

4.คาถาเรียกพรายกินเครื่องเซ่นจิเรุนิสะอะนิโสปะริภุญชันตุ จะมหาภูตา เอหิภะตา พิสา เจวะ ยักขะ มานิ อาคัจฉายะอาคัจฉาหิ เอหิ เอหิ มามะ มามาฯ


วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2566

การปรับฮวงจุ้ยด้วยการสวดคาถา"มหาจักรพรรดิ"



วิชาฮวงจุ้ยเกิดจากประสพการในการสังเกตธรรมชาติแวดล้อมทั้งที่มองเห็นได้และ มองไม่เห็นว่าถ้ามีรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งปรากฏขึ้นแล้วจะมีผลเกิดขึ้นกับชีวิต มนุษย์อย่างไร นักปราชญ์หลายชั่วอายุคนได้บันทึกหรือจดจำว่า ถ้ามีเหตุตามรูปแบบที่เกิดซ้ำๆแล้วมันจะเกิดผลดีหรือผลร้าย จากประสพการดังกล่าวสรุปเป็นแนวคิดของสำนักฮวงจุ้ยต่างๆ เช่น สำนักรูปลักษณ์ สำนักเข็มทิศ หรือสำนักดาวเหิร   แม้แต่ละสำนักคิดจะมีรูปแบบภายนอกที่ดูแตกต่าง หากเราพิจารณาให้ละเอียดจะพบว่าแต่ละสำนักคิดนั้นเป็นการจัดการกับพลังงาน ที่อยู่แวดล้อมร่างกายมนุษย์ ในรูปแบบที่คิดว่าเหมาะสมที่สุด เพื่อให้มนุษย์อยู่ดีมีสุข ถ้าผู้อ่านบทความนี้รู้สึกว่าบ้านที่อยู่อาศัย หรือที่ทำงาน อยู่แล้วไม่มีความสุขเพราะฮวงจุ้ยไม่ดีแต่ไม่รู้ที่จะหาอาจารย์ฮวงจุ้ยที่ เก่งๆจากไหน หรือรู้แต่ไม่มีเงินพอที่จะไปจ้างมาได้ แต่อยากจะปรับฮวงจุ้ยให้เหมาะสมกับ ตัวเรา ก็สามารถจัดการกับพลังงานในสถานที่นั้นๆด้วยการสร้างพลังงานที่ดีเพื่อ บรรเทาหรือลบล้างพลังงานที่ไม่ดี โดยอาศัยหลักการของพระพุทธศาสนา คือ

 

1. การบริจาคทาน เป็นการลดความเห็นแก่ตัว เช่นทำบุญตักบาตร  บริจาคทรัพย์ให้แก่ผู้ที่ขาดแคลนและสมควรได้รับการช่วยเหลือ ก็จะทำให้จิต ใจของเราบรรเทาความเร่าร้อนและเกิดมีความสุข

          2. รักษาศีลขั้นต่ำคือศีลห้า เพื่อป้องกันไม่ให้สร้างกรรมที่ไม่ดี แล้วปฏิบัติตามหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่มีมากมาย เช่น สัปปุริสธรรม 7 ( คุณสมบัติของคนดี ) อันได้แก่




     

             

       

   การสวดมนต์บทคาถามหาจักรพรรดิก็เป็นคำภาวนาแบบหนึ่ง แต่หลวงปู่ดู่ ( พรหมปํญโญ ) ผู้เรียบเรียงได้อธิษฐานจิตให้คาถานี้สามารถเป็นสื่อในการชักนำพลัง จักรพรรดิที่ไม่มีวันหมดมาใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ตัวผู้สวดพระคาถานี้ในทาง ที่ไม่ผิดศีลธรรม 

 

 


วิธีนี้เป็นการใช้บุญฤทธิหรือจิตของเราที่เลื่อมใสในคุณ แห่งพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์ ชักนำพลังจิตของพระ พุทธเจ้า พลังแห่งพระธรรมและพลังจิตแห่งพระอริยะสงฆ์   อีกทั้งพลังแห่งพระมหาจักรพรรดิ พระโพธิสัตว์ ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในโลกนี้และจักรวาลต่างๆ ซึ่งเป็นพลังงานที่ดีให้เข้ามาลดทอนความร้ายแรงของพลังงานที่ไม่ดีในสถานที่ ที่ต้องการ การที่จะได้ผลมากได้น้อยก็ขึ้นกับความเพียรในการสวดและพลังจิต หรือจินตนาการของผู้สวด

 


 


  หลักของการใช้ฤทธิหรือพลังจิตก็คือต้องมีศรัทธาเชื่อว่าสิ่งที่ต้องการนั้นมันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ ไม่ ใช่ว่าจะเกิด ดังนั้น    ก่อนที่จะเริ่มสวดคาถามหาจักรพรรดิต้องมีความคิดหรือภาพในใจที่ชัดเจนแจ่ม ชัดว่า   การที่เราจะสวดมนต์ครั้งนี้เราต้องการที่จะชักนำพลังงานฝ่ายดีมาทำให้เกิดผล อย่างไร เมื่อมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนแล้ว ทุกขณะที่เอ่ยคำสวดเราต้องจินตนาการไปตามบทสวดว่า มีภาพต่างๆเกิดขึ้นในตามคำสวดที่เกิดขึ้นให้ทันกับปัจจุบัน มีคนกล่าวไว้ว่า “ ถ้าเราเข้าใจในสิ่งที่ทำ จะนำมาซึ่งทักษะที่สุดยอด ” ดังนั้น ถ้าเราเข้าใจถึงที่มาและความหมายของคาถามหาจักรพรรดิเราก็จะสามารถใช้ประโยชน์จากคาถานี้ได้อย่างเต็มที่

                                           

 



ที่มาคาถามหาจักรพรรดิ
มีที่มาจาก ” ชมพูปติสูตร ” ซึ่งเป็นตอนที่พระพุทธเจ้าทรงเนรมิตพระองค์เป็นพระเจ้าจักรพรรดิเพื่อกำราบ ทิฐิมานะของพญาชมพู พระมหากษัตริย์ผู้มากด้วยอิทธิฤทธิ์ ผู้ที่เรียบเรียงหรือแต่งคาถานี้คือ พระพรหมปัญโญ หรือหลวงปู่ดู่แห่งวัดสะแก ตำบลธนู อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีที่มาจากหลวงพ่อสำเภาซึ่งศิษย์ของหลวงปู่ได้สร้างพระพุทธรูปและได้แต่ง คาถาบูชาพระพุทธรูป แต่มีบางแห่งที่ไม่ถูกต้องหลวงปู่ดู่จึงได้ปรับแก้ให้ เหมาะสม คาถานี้เป็นการสวดเพื่อบูชาพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ตลอดจนทั้งพระนิพพาน รวมถึงพระธรรมเจ้า พระโพธิสัตว์เจ้า พระอรหันตาขีณาสพเจ้า พระอริยะสงฆ์ และพระสาวกทั้งมวล เป็นการบูชาพระพุทธเจ้าทั้งห้าพระองค์ในภัทรกัป ( กัปปัจจุบันนี้ ) อีกทั้งยังเป็นการอัญเชิญกำลังแห่งพระเจ้าจักรพรรดิ กำลังแห่งพระโพธิญาณของพระโพธิสัตว์เจ้าทุกๆพระองค์ นับตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคต น้อมนำกำลังของพระอริยะเจ้าทั้งหลายและเทพพรหม อาราธนาบารมีแห่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ครูบาอาจารย์ เทพ พรหม สิ่งศักดิ์สิทธิ์เข้าสู่ตัวของผู้สวดคาถามหาจักรพรรดิ เพื่อคุ้มครองป้องกันภัยและเสริมโชคลาภให้แก่ผู้สวด และ เนื่องจากในบทสวดมีการระลึกถึงพระสีวลีผู้เป็นพระอสีติมหาสาวกที่มีเอตทัคคะ ในทางเป็นผู้มีลาภมากรวมอยู่ด้วย การสวดครั้งหนึ่งมีอานิสงส์แผ่ไปทั่วจักรวาลตลอดจนสามแดนโลกธาตุ ( เทพ พรหม มนุษย์ภูมิ อบายภูมิ ) สามารถแผ่ส่วนบุญปรับภพภูมิแก่สรรพสัตว์ ตลอดจนเทวดาประจำตัว ญาติมิตร ครอบครัว เจ้ากรรมนายเวร การสวดบทพระคาถามหาจักรพรรดินี้ยังเป็นการสร้างกำแพงแก้วคุ้มกันตัวแก่ผู้สวดอีกด้วย คาถานี้มีพลังงานมากมายและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อีกหลาย ๆ วิธี   โดยบทสวดพระมหาจักรพรรดิมีดังนี้
 
คาถามหาจักรพรรดิ
 นะโมพุทธายะ , พระพุทธะไตรรัตนญาณ , มณีนพรัตน์ ,
สีสะหัสสะ สุธรรมา ,  พุทโธ ธัมโม สังโฆ ,
ยะธาพุทธโมนะ , พุทธบูชา ธัมมะบูชา สังฆะบูชา ,
อัคคีทานัง วะรังคันธัง , สีวลี จะมหาเถรัง ,
อะหังวันทามิ ทูระโต ,
อะหังวันทามิ สัพพะโส ,
พุทธะ ธัมมะ สังฆะ ปูเชมิ ”

สำหรับการสวดจะเปล่งเสียงตามจังหวะของเครื่องหมายจุลภาคที่คั่นไว้ ส่วนคำแปลและความหมายของคาถามีดังนี้

 




1. นะโมพุทธายะ ข้าพเจ้าขอนอบน้อมบูชาต่อพระพุทธเจ้าในภัทรกัปทั้งห้าพระองค์คือ
          1.1 นะ คือ พระกกุสันธะ เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์แรกของกัปนี้ พลังสีขาว
เวลา สวดถึงคำนี้ถึงพระพุทธรูปสีขาว
          1.2 โม คือ พระโกนาคม เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ที่สองของกัปนี้ พลังสีเหลือง เวลาสวดถึงคำนี้ให้นึกถึงพระพุทธรูปสีเหลือง
          1.3 พุท คือ พระกัสสป เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ที่สามของกัปนี้ พลังสีฟ้า 
เวลาสวดถึงคำนี้ให้นึกถึงพระพุทธรูปสีฟ้า
          1.4 ธา คือ พระสมณโคดม พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน พลังสีเขียว เวลาสวดถึงคำนี้ให้นึกถึงพระพุทธรูปสีเขียว
          1.5 ยะ คือ พระศรีอริยะเมตไตรย เป็นพระพุทธเจ้าองค์ถัดจากองค์ปัจจุบัน เวลาสวดถึงคำนี้ให้นึกถึงพระพุทธรูปสีแดง

 

 
2. พระพุทธไตรรัตนญาณ พระพุทธเจ้าซึ่งมีพระญาณแก้วทั้งสาม คือ  


 


 

                           2.1 บุพเพนิวาสานุสติญาณ (ความรู้เป็นเครื่องระลึกได้ถึงขันธ์ที่อาศัยอยู่ในก่อน หรือ ระลึกชาติได้)

 

    


          2.2 จุตูปปาตญาณ (ปรีชารู้จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย  หรือ มีจักษุทิพย์มองเห็นสัตว์กำลังจุติบ้าง กำลังเกิดบ้าง มีอาการดีบ้าง เลวบ้าง ตามกรรมของตน)



          2.3 อาสวักขยญาณ ความรู้เป็นเหตุสิ้นอาสวะ ญาณหยั่งรู้ในธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ความตรัสรู้




 

3. มณีนพรัตน์   

          3.1 มีสมบัติคือแก้วเก้าประการ อันได้แก่ เพชรทับทิม มรกต บุษราคัม โกเมน นิล 
มุกดาหาร เพทาย ไพฑูรย์


 


 

          3.2 มีสมบัติของจักรพรรดิเจ็ดประการคือ จักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว นางแก้ว มณี รัตนะ ขุนคลังแก้ว ขุนพลแก้ว

 

          3.3 พระนวโลกุตรธรรม ( ธรรมอันมิใช่วิสัยของโลก 9 ประการ หรือ สภาวะพ้นโลก )   อันได้แก่ 



                      มรรค 4 ( ทางเข้าถึงความเป็นอริยบุคคล หรือ ญาณที่ทำละสังโยคได้ คือ โสดาปัตติมรรค สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค และอรหัตตมรรค ) 

                                         


 

                            ผล4 (ผลที่เกิดสืบเนื่องจากการละกิเลสด้วยมรรค คือ  โสดาปัตติผล สกทาคามิผล    อนาคามิผล และอรหัตตผล ) 




                           นิพพาน 1 ( สภาพที่ดับกิเลสและกองทุกข์แล้วเป็นอิสรภาพสมบูรณ์ )

 
5. พุทโธ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
6. ธัมโม ธรรมของพระพุทธเจ้า
7. สังโฆ พระสงฆ์สาวกที่ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า

 


8. ยะธาพุทโมนะ ขอพระพุทธเจ้าปางมหาจักรพรรดิ ซึ่งมีชัยชนะแก่พญาชมพูผู้มีฤทธิ์มาก พร้อมทั้งพระธรรม และพระสงฆ์ จงบังเกิดขึ้น ณ บัดนี้ด้วยเทอญ ( การสวดคำว่า “ นะโมพุทธายะ ” แล้วปิดท้ายด้วย “ ยะธาพุทธโมนะ ” เป็นการอธิษฐานตั้งองค์พระหรือการอธิษฐานให้เป็นพระพุทธเจ้าปางมหาจักรพรรดิ )

 

9. พุทธะบูชา ข้าพเจ้าขอบูชาพระพุทธเจ้า
10.ธรรมบูชา ข้าพเจ้าขอบูชาพระธรรม
11.สังฆะบูชา ข้าพเจ้าขอบูชาพระสงฆ์

 



12.อัคคีทานัง วะรังคันธัง ด้วยสิ่งเหล่านี้ ได้แก่ธูป เทียน ไฟ หรือแสงสว่าง และ ของหอมทั้งมวล มีดอกไม้และน้ำอบเป็นต้น

 

13.สีวะลี จะมหาเถรัง ขอนมัสการพระสีวลีเถระเจ้า ผู้เป็นเลิศทางลาภสักการะ

 



14.อะหังหังวันทามิ ทูระโต ขอนมัสการสถานศักดิ์สิทธิ์ทั่วไป มีสังเวชนีสถานเป็นต้น


 


15.อะหังวันทามิ ธาตุโย ขอนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ และพระธาตุทั้งหลายทั่วทั้งแสนโกฏิจักรวาล

 

16.อะหังวันทามิ สัพพะโส ขอนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย

 

17.พุทธะ ธรรมะ สังฆะ ปูเชมิ ซึ่งเป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
 
 
        พระคาถามหาจักรพรรดิที่หลวงปู่ดู่แต่งขึ้นมานั้น นอกจากท่านได้ทำการอธิษฐานบารมีให้ผู้สวดได้รับพลังจากพระรัตนตรัย อย่างมหาศาลแล้ว ยังก่อให้เกิด


 

          พุทธนิมิต                                        วิมารแก้วบุษบก                               ฉัพพรรณรังสี

“ พุทธนิมิต ( ภูตพระพุทธเจ้า หรือพลังงานของพระพุทธเจ้าที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในโลก ) ” เป็นวิมานแก้วของพระพุทธเจ้ามาครอบสถิตรอบกายทิพย์ของผู้สวดด้วย โดยมีลักษณะเป็น( บุษบก ) ปรากฏฉัพพรรรณสีหก ประการ ( วรรณะรังสี หรือ ออร่าที่เปล่งมาจากพระวรกายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จำนวนหกสี คือ สีขาว สีเหลือง สีแดง สีเขียว สีชมพู และสีประภัสสรเลื่อมพราย ) สว่างไสว



 


พร้อมด้วยโพธิสัตว์ศาสตราวุธทั้งสี่ประการ คือ 1.พระมหามงกุฎ 2.ตรีศูล 3.จักรแก้ว 4.พระขรรค์เพชร







 หากสวคาถามหาจักรพรรดิเป็นประจำสามารถอธิษฐานให้เกิดเป็นองค์พระพุทธนิมิตปางมหาจักรพรรดิซึ่ง เปี่ยมไปด้วยอิทธิฤทธิ์และบุญฤทธิ์ มีความศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างมาก โดยองค์พระพุทธนิมิตจะประดับด้วยเครื่องทรง แห่งองค์พระมหาจักรพรรดิอย่างวิจิตรอลังการ เปล่งรัศมีหลากสีด้วยแสงแห่งรัตนะเรียกว่า 
“ พระมหาวิษิตาภรณ์ ” มาครอบสถิตผู้ภาวนา




วิธีการสวดโดยละเอียด



การสวดคาถามหาจักรพรรดินั้น ตามธรรมเนียมการเรียนเวทมนต์คาถาแต่โบราณ ต้องมีการฝากตัวเป็นศิษย์เสียก่อน เนื่องบรรดาลูกศิษย์ของหลวงปู่ดู่เชื่อ ว่าท่านเป็นพระโพธิสัตว์ซึ่งเป็นภาคย่อยของหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด ที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าศรีอริยะเมตไตรย มีการบอกกันเป็นการภายในว่า การขอความช่วยเหลือจากบรรดาพระอรหันต์หรือพระพุทธเจ้าที่เข้านิพพานไปแล้วขอ ได้ยากมาก เพราะมีเพียงกระแสพลังที่ยังคงหลงเหลืออยู่ ถ้าต้องการขอความช่วยเหลือต้อง ขอจากพระโพธิสัตว์หรือเทวดาที่ยังไม่เข้านิพพาน เพราะจิตของท่านยังรับรู้คำขอได้ ส่วนจะให้หรือไม่ก็แล้วแต่ท่านจะไปบังคับกะเกณฑ์เอาไม่ได้ ถ้าท่านพิจารณาแล้วว่าสมควรท่านก็ให้ แต่อย่างไรก็ตามก็ยังขอความช่วยเหลือ ได้ง่ายกว่าพระอรหันต์ที่เข้านิพพานแล้ว   เนื่องจากในปัจจุบันหลวงปู่ดู่ได้มรณภาพไปแล้ว เหลือแต่เพียงดวงจิตที่ยังคงมีพลังงานการรับรู้ได้ การฝากตัวเป็นลูกศิษย์จึงเรียกว่า “ การฝากดวงไว้กับหลวงปู่ดู่ ”  โดยมีรายละเอียดดังนี้


       “ ข้าพเจ้า ( ชื่อ ..................... นามสกุล ................. ) ขอยกให้หลวงปูดู่พรหมปัญโญ เป็นพ่อแม่ครูอาจารย์ ลูกขอฝากชีวิต ฝากดวงไว้กับหลวงปู่ ให้หลวงปู่เมตตาดูแลไปจนกว่าจะถึงพระนิพพานในอนาคตการ เทอญ ) ”

 


        เมื่อฝากตัวเป็นลูกศิษย์แล้ว 

ขั้นตอนการสวดคาถามหาจักรพรรดิเพื่อปรับฮวงจุ้ย

1. สวดบูชาพระรัตนตรัย ( นะโมตัสสะ 3 ครั้ง )
 “ นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ”

2. สวดบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ดังนี้
“ พุทธัง ชีวิตัง เมปูเชมิ ( ข้าพเจ้าขอบูชาพระพุทธเจ้า ด้วยชีวิต )
   ธัมมัง ชีวิตัง เมปูเชมิ  ( ข้าพเจ้าขอบูชาพระธรรมเจ้า ด้วยชีวิต )
   สังฆัง ชีวิตัง เมปูเชมิ  ( ข้าพเจ้าขอบูชาพระสงฆ์เจ้า ด้วยชีวิต ) ”

3. กราบพระ 6 ครั้ง ดังนี้
 “ พุทธัง วันทามิ
   ธัมมัง วันทามิ
   สังฆัง วันทามิ
   อุปัชฌาอาจาริยคุณัง วันทามิ ( สำหรับผู้ชายสวด )
   คุณครูบาอาจารย์ วันทามิ ( สำหรับผู้หญิงสวด )
   มาตาปิตุคุณัง วันทามิ
   พระไตรสิกขาคุณัง วันทามิ ”

4. สมาทานศีล 5
          4.1 “นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ ( 3 ครั้ง )
          4.2  พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
                 ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
                 สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
                 ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
                 ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
                 ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
                 ตติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
                 ตติยัมปิธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
                 ตติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ”
          4.3  ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สมาธิยามิ
                 อทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สมาธิยามิ
                 กาเมสุมิจฉาจารา เวระมะณี สิกขาปะทัง สมาธิยามิ
                 มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สมาธิยามิ
                 สุราเมระยะมัชชะ ปะมา ทัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สมาธิยามิ
          4.4 อิมานิ ปัญจะ สิกขา ปะทานิ สมาธิยามิ ( 3 ครั้ง )
                สีเลนะ สุคะติงยันติ สีเลนะ โภคะสัมปะทา
                สีเลนะ นิพพุตติงยันติ ตัสสะมา สีลัง วิโส ธะเย  ”

 



5. ผู้สวดคาถามหาจักรพรรดิเพื่อปรับฮวงจุ้ยนั่งอยู่หน้าพระบูชาของหลวงปู่ดู่ หรือกำลูกแก้วมหาจักรพรรดิ ( ลูกแก้วมณีนพรัตน์ )หรือพระเครื่อง หรือเครื่องรางอย่างอื่นของหลวงปู่ดู่ไว้ในมือ ( ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร ) ถ้าเป็นรูปพระพุทธให้หันรูปเข้าหาตัวผู้สวดและให้เศียรของพระขึ้นข้างบน ทำจิตใจให้ตั้งมั่นและผ่องใส ก่อนที่จะเริ่มลงมือสวดให้นึกภาพในใจอย่าง ชัดเจนว่า เรากำลังขอความเมตตาจากหลวงปู่ดู่ให้ชักนำบารมีรวมของพระมหาจักรพรรดิ( พลังงานจักรพรรดิ ) บารมีรวมของพระโพธิสัตว์ ผ่านบารมีรวมของพระศรีอริยะเมตไตรย ผ่านบารมีรวมของหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด ผ่านบารมีรวมของหลวงปู่ดู่ ครอบเป็นวิมานแก้ว ( บุษบก )ที่ตัวของผู้สวด จากนั้นชักนำพลังงานจักรพรรดิที่สถิตที่ร่างกายผู้สวด ไปครอบเป็นวิมานที่บ้าน ที่ทำงาน หรือสถานที่ที่ต้องการปรับภพภูมิ ( ฮวงจุ้ย )
                                                      

     
แล้วกล่าวคำอธิษฐานดังนี้
 “ ลูกขออาราธนาพระบารมีแห่งองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดทั้งมวล ตั้งแต่องค์ปฐมบรมมหาจักรพรรดิ จนถึงองค์บรมมหาจักรพรรดิปัจจุบันทุกๆพระองค์ พระบารมีรวมพระปัจเจกพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ พระธรรม และอริยสงฆ์ทุกชั้นภูมิ ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคต โดยบารมีรวมของหลวงปู่ทวด และหลวงปู่ดู่เป็นที่สุด ขอหลวงปู่ดู่ได้มีพระเมตตา

 

                                                        

                   
                 5.1 ถ้ากำลูกแก้ว มณีนพรัตน์ ก็กล่าวว่า “ ขอให้ลูกแก้วมณีนพรัตน์นี้เป็นดวงแก้วมหาจักรพรรดิ ปรับภพภูมิแต่งเมือง ขอพระฉัพพรรณรังสีแห่งพระรัตนตรัยทั้งหมดทั้งมวล จงแผ่จากดวงแก้วมณีนี้ไปในพื้นที่ ครอบวิมานแก้ว ให้กับ ( บ้านของ........... หรือ สถานที่ทำงานของ........... ) ให้แก่เหล่าดวงจิต ดวงวิญญาณทั้งหลาย ขอให้กระแสพระบารมีจงเชื่อมมายังดวงแก้วนี้จงครอบวิมานแก้วปรับภพภูมิและดวง วิญญาณในสถานที่นี้ด้วยเทอญ ”

 

                   5.2 ถ้ากำพระเครื่องหรือเครื่องรางอย่างอื่นของหลวงปู่ดู่ ก็กล่าวว่า “ ให้ ( ชื่อพระเครื่องหรือเครื่องราง ) นี้เป็นดวงแก้วมหาจักรพรรดิ ปรับภพภูมิแต่งเมือง ขอพระฉัพพรรณรังสีแห่งพระรัตนตรัย.................... ปรับภพภูมิและดวงวิญญาณในสถานที่นี้ด้วยเทอญ ”
 
6. สวดคาถาบูชาหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดและหลวงปู่ดู่ ดังนี้
“ นะโม โพธิสัตโต พรหมปํญโญ อาคันติมายะ อิติ ภควา ”
“ ขอนอบน้อมบูชาแด่องค์พระศรีอาริเมตไตรยบรมโพธิสัตว์ ผู้แบ่งภาคมาโปรดสัตว์ยังโลกมนุษย์ ขอจงเกิดความสำเร็จทุกประการเทอญ ”

7. สวดคาถามหาจักรพรรดิ ตามกำลังวัน หรือถ้ามีเวลาก็สวด 108 จบ โดย
           7.1 วันจันทร์ สวด 15 จบ
           7.2 วันอังคาร สวด 8 จบ
           7.3 วันพุธกลางวัน สวด 17 จบ
           7.4 วันพุธกลางคืน สวด 12 จบ
           7.5 วันพฤหัสบดี สวด 19 จบ
           7.6 วันศุกร์ สวด 21 จบ
           7.7 วันเสาร์ สวด 10  จบ
           7.8 วันอาทิตย์ สวด 6 จบ 

 

8. เมื่อสวดคาถาเสร็จแล้ว ให้นึกภาพตามข้อ 5 ซ้ำอีกครั้งให้ชัดเจน แล้วจึงสวดบทสัพเพเพื่ออาราธนาพลังจักรพรรดิเข้าตัวเราแล้วนำไปครอบวิมานใน ที่ที่ต้องการ
“ สัพเพ พุทธา สัพเพ ธัมมามสัพเพ สังฆา
  พะลัปปัตตา ปัจเจกายัง จะยังพะลัง
 อะหันตานัญ จะเตเชนะรักขัง
 พันธามิสัพพะโส
( ในระหว่างนี้ให้วางจิตเบาๆ โน้มนำพระบารมีเข้าตัวผู้สวด จินตนาการว่ามีพระบารมีเข้าตัวเป็นแสงสว่างครอบเป็นวิมานแก้วที่ตัวผู้สวด จากนั้นให้แสงนั้นส่งผ่านต่อไปครอบเป็นวิมานแก้วในสถานที่ที่ต้องการปรับภพ ภูมิ และดวงวิญญาณในสถานที่นั้นๆ )
 พุทธังอธิษฐามิ ธัมมังอธิษฐามิ สังฆังอธิษฐามิ ”

9. นั้นจึงแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศล
“ พุทธัง อะนันตัง ธัมมัง จักวาลัง สังฆัง นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ”
 ( ผลบุญของข้าพเจ้าที่ได้กระทำมาแล้วในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ขอปวงสรรพสัตว์ทั้งหลายที่เวียนว่าย ตาย เกิด ในสังสารวัฏ จงมีส่วนได้รับผลบุญของข้าพเจ้าเทอญ )

10. หมายเหตุ ถ้าผู้สวดมีเวลาน้อยก็อาจลดขั้นตอนการปฏิบัติ โดยตัดข้อ 2., 3.และ 4 แล้วทำตามข้อที่เหลือ

หนังสืออ้างอิง
1. กายสิทธ์ จัดพิมพ์โดยสำนักสงฆ์พุทธพรหมปัญโญ ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่
2. ไตรรัตน์ เล่ม 1 , 2 , และ 3 จัดพิมพ์โดยคณะศิษยานุศิษย์
3. “ไตรรัตนญาณ โดยพระวรงคต วิริยะธโร ( หลวงตาม้า ) วัดพุทธพรหมปัญโญ ( วัดถ้ำเมืองนะ ) ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว
    จังหวัดเชียงใหม่ เรียบเรียงโดย
 ยุทธภูมิ อุพลเถียร


   


หุ่นพยนต์อันดับ1 ของแผ่นดิน หลวงพ่อผาด วัดบ้านกรวด

หุ่นพยนต์อันดับ1 ของแผ่นดิน หลวงพ่อผาด วัดบ้านกรวด   สร้างเมื่อปี 2551 ทำมาจากเนื้อผงพรายกุมาร ปลุกเสกโดย หลวงปู่ผาด วัดบ้านกรวด เมื่อวันท...